ในปี 1996 ด้วยผลของกฎบอสแมนที่เพิ่งบังคับใช้ได้ไม่นาน ด้วยวิสัยทัศน์ของเคน เบตส์ รวมถึงแมทธิว ฮาร์ดิง มือขวาคนสำคัญ (ผู้จากไปก่อนวัยอันควรจากเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก) และด้วยบารมีของรุด กุลลิท นักเตะซูเปอร์สตาร์จากต่างแดนคนแรกในสแตมฟอร์ด บริดจ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Foreign Revolution”
การปฏิวัติจากนักเตะต่างชาติในเกมฟุตบอลอังกฤษจึงเกิดขึ้น และไม่มีทีมใดที่จะเปลี่ยนแปลงมากเท่ากับเชลซี
จิอันลูกา วิอัลลี หัวหอกพระกาฬระดับตำนานอีกคนของวงการฟุตบอลอิตาลีถูกดึงตัวมาจากยูเวนตุสในเดือนพฤษภาคม ตามด้วย โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ กองกลางมันสมองของดีจากลาซิโอ
แต่ไม่มีการเซ็นสัญญาใดจะยิ่งใหญ่เท่ากับการที่พวกเขาได้ จิอันฟรังโก โซลา มาจากปาร์มา ด้วยสนนราคา 4.5 ล้านปอนด์ โดยเป็นการได้ตัวมาในระหว่างฤดูกาลช่วงเดือนพฤศจิกายน
โดยที่เหล่าแฟนสิงห์บลูไม่รู้เลยว่าในวันนั้นพวกเขาไม่ใช่ได้ตัวจิตรกรลูกหนังมาจากอิตาลี
เพราะตัวตนที่แท้จริงของศิลปินคนนี้คือผู้วิเศษที่ทำอะไรก็ได้ในสนาม
“ผมรู้เรื่องของเชลซีมาบ้างเพราะร็อบบี (ดิ มัตเตโอ) กับลูกา (วิอัลลี) เล่าให้ผมฟังเยอะมาก” โซลาบอกถึงเหตุผลที่ช่วยให้การตัดสินใจย้ายออกจากเซเรีย อา นั้นง่ายขึ้น ถึงแม้ว่าพรีเมียร์ลีก – หรือพรีเมียร์ชิพในเวลานั้น – จะไม่ได้เป็นลีกฟุตบอลที่อยู่ในระดับสูงสุดเหมือนที่เขาเคยอยู่ก็ตาม
ในความรู้สึกของผู้คน การย้ายจากอิตาลีมาเล่นในอังกฤษอาจจะเป็นการเดินถอยหลัง
แต่สำหรับโซลามันเป็นการเดินหน้าสู่ความท้าทายใหม่ในรูปแบบที่แตกต่าง
การมีอยู่ของเพื่อนนักเตะร่วมชาติอย่างวิอัลลี และดิ มัตเตโอ รวมถึงรุ่นพี่มากบารมีอย่างกุลลิท ที่จำใจรับตำแหน่งผู้เล่น-ผู้จัดการทีมต่อจากเกล็นน์ ฮอดเดิล ซึ่งถูกปลดก่อนจากทีมจะไปรับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติอังกฤษต่อจากเทอร์รี เวนาเบิลส์ มีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้ชีวิตใหม่ของโซลาไม่ได้โหดร้ายนัก
อีกทั้งเขาเองก็พอรู้จักพรีเมียร์ชีพอยู่บ้างจากการเป็นคนเปิดหูเปิดตา
โดยที่เมื่อได้มาสัมผัสของจริงแล้ว ทุกอย่างมันดีกว่าที่เคยดูหรือเคยได้ยินเสียอีก
“ผมอยากได้ประสบการณ์ใหม่ๆ และผมก็รอจะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ในต่างแดนมาตลอด เชลซีมีดิ มัตเตโอ, วิอัลลี และกุลลิท ผมจำได้ว่าตอนที่เจอกับลูกาในทีมชาติเขาพูดถึงประสบการณ์การเล่นที่นี่เอาไว้ดีมากๆ ทั้งทีม ทั้งลีก และแฟนบอลทุกคน” โซลาบอกในเวลาต่อมาถึงการตัดสินใจในวันนั้นในการแจ้งกับปาร์มาว่าขอย้ายไปเชลซี ซึ่งกลายเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา
ในทางกลับกันมันก็เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดของเชลซีด้วยเหมือนกัน
แม้จะเป็นนักฟุตบอลรูปร่างเล็กสูงเพียง 5 ฟุต 6 นิ้ว แต่ในนั้นเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์อยู่ทุกอณูรูขุมขน
โซลาไม่ได้เป็นแค่ “Trequalista” หรือนักฟุตบอล “หมายเลข 10” แต่เป็นนักเตะในระดับ “Fantatista” ผู้สร้างสิ่งเหลือเชื่อให้เกิดขึ้นได้ในสนาม
หนึ่งในบทพิสูจน์เรื่องนี้เกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 1997 เมื่อโซลา “เริงระบำ” ท่ามกลางแนวรับของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในกรอบเขตโทษก่อนที่จะยิงผ่านปีเตอร์ ชไมเคิล เข้าไปชนิดที่เหล่าปีศาจแดงอ้าปากค้างกันทั้งสนามด้วยความไม่อยากเชื่อสายตา
เพราะมันเป็นการเล่นที่น่าเหลือเชื่อ ซึ่งมีขึ้นได้แต่เฉพาะเหล่านักเตะผู้เอกอุทางศิลปะการเล่นลูกหนังเท่านั้นที่ทำได้ เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากตำราไม่มีใครสอน แต่โซลาทำได้ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเขาคือศิษย์ผู้ใกล้ชิดกับดีเอโก อาร์มันโด มาราโดนา ผู้ยิ่งใหญ่ด้วย
แต่สำหรับแฟนเชลซี ความมหัศจรรย์นี้พวกเขาเริ่มคุ้นชินแล้ว เพราะสตาร์คนใหม่จากอิตาลีสำแดงให้เห็นตั้งแต่เกมนัดแรกที่ลงสนามพบกับแบล็คเบิร์น โรเวอร์สเลยทีเดียว
ก่อนที่โซลาจะมีส่วนสำคัญในการช่วยพาเชลซี พิชิตแชมป์เอฟเอ คัพ ด้วยการเอาชนะมิดเดิลสโบรห์ 2-0 (ดิ มัตเตโอ ยิงประตูขึ้นนำตั้งแต่ 43 วินาทีแรก ซึ่งเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ณ ขณะนั้น) ซึ่งเป็นการคว้าโทรฟีใบแรกในรอบ 28 ปีของสโมสร และลบความเจ็บปวดจากการพลาดแชมป์รายการนี้ในปี 1994 เมื่อพ่ายแพ้ในรอบชิงชนะเลิศต่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดขาดลอยถึง 4-0
โดยที่ระหว่างทางโซลา ยังสร้างความมหัศจรรย์ต่อเนื่องรวมถึงลูกปั่นโค้งจากระยะ 25 หลาในเกมที่พบกับลิเวอร์พูลที่ช่วยให้เชลซีพลิกจากตามหลัง 0-2 กลับมาเอาชนะได้ 4-2 และประตูตอกส้นใส่วิมเบิลดันในรอบรองชนะเลิศ
จบฤดูกาลนั้นเขาได้รับการโหวตให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีจากสมาคมนักข่าวฟุตบอลอังกฤษ (FWA) ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงคุณค่าเพราะคนที่ลงคะแนนให้คือเหล่านักข่าวและนักเขียนผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสิ้น
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาโซลากลายเป็นคนสำคัญที่เชลซีไม่อาจขาดได้ ในฤดูกาล 1997/98 เขาพาเชลซีคว้าแชมป์ได้อีก 3 รายการทั้งลีก คัพ, ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ (แม้ว่าจะบาดเจ็บจนอดลงนัดชิงที่พบกับสตุ๊ตการ์ตก็ตาม) และยูเอฟ ซูเปอร์ คัพ
ต่อด้วยการเป็นแกนหลักค้ำยันทีมในการผจญภัยในยูเอฟา แชมเปียนส์ ลีก ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรในฤดูกาล 1999/00
แม้ว่าเชลซี จะไปไม่ถึงปลายทางในรายการระดับสโมสรยุโรป แต่น้องใหม่อย่างพวกเขาก็ไปได้ถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเลยทีเดียว (ยิงฟรีคิกใส่บาร์เซโลนาด้วย!) และจบฤดูกาลนั้นโซลา ก็ยังมีส่วนในการพาทีมเป็นแชมป์อีกครั้งในรายการเอฟเอ คัพ ด้วยการเอาชนะแอสตัน วิลลาได้สำเร็จ
โดยที่ในเกมนั้นเขาทั้งยิงประตูด้วยลูกปั่นฟรีคิกสุดสวย และถวายพานให้ดิ มัตเตโอ ทำอีกประตูด้วย
อย่างไรก็ดีไม่มีอะไรที่จีรังและยั่งยืน แม้แต่นักเตะอย่างโซลาเองก็เริ่มถูกลดบทบาทลง จากนโยบายการหมุนเวียนผู้เล่น (โรเทชัน) ของวิอัลลี และการเข้ามาของกองหน้าคนใหม่อย่าง ไอเดอร์ กุดยอห์นเซน ที่บทบาททับซ้อนกันและหนุ่มแน่นกว่า ทำให้ได้จับคู่กับจิมมี ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ หัวหอกพระกาฬยุคใหม่
ก่อนที่ทุกอย่างเหมือนจะแย่ลงเมื่อเคลาดิโอ รานิเอรี เข้ามาคุมทีมเชลซีในฤดูกาล 2001/02 พร้อมกับนโยบายในการผ่องถ่ายนักเตะอายุมากออกจากทีมเพื่อเปิดทางให้นักเตะรุ่นใหม่มากขึ้น แม้โซลาจะยังได้อยู่กับทีมต่อไปแต่บทบาทของเขาก็ถูกลดทอนลงเรื่อยๆ
ถึงอย่างนั้นพ่อมดแห่งเดอะ บริดจ์ก็ยังสำแดงเดชให้เห็นบ้างยามมีโอกาสให้แฟนๆได้หายคิดถึง
จนถึงฤดูกาล 2002/03 ในยามที่ทุกคนคิดว่าเขาคงจะ “หมด” แล้ว
ผู้วิเศษคนนี้เลือกที่จะร่ายมนตร์ชุดใหญ่สุดตระการตาให้เห็นตลอดฤดูกาล ด้วยการกลับมาคืนฟอร์มเก่งอีกครั้ง ในฤดูกาลนี้โซลาทำไปถึง 16 ประตู ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับเชลซี จนได้รับการโหวตให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสร และช่วยพาทีมกลับไปแชมเปียนส์ ลีกได้อีกครั้งด้วย
ประตูสุดท้ายของเขากับเชลซีคือลูกชิพโด่งจากริมกรอบเขตโทษเข้าไปอย่างสุดเหนือชั้นในเกมกับเอฟเวอร์ตันในวันอีสเตอร์
และในช่วงเวลาสุดท้ายของเขาในเสื้อสีน้ำเงิน โซลาซึ่งลงสนามในช่วง 20 นาทีสุดท้ายในเกมกับลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นถึง “คลาส” ของนักเตะระดับสุดยอดของโลกผู้บรรลุศาสตร์ของการเล่นลูกหนังด้วยการเลี้ยงหลบนักเตะลิเวอร์พูล 4 คนในช่วงสุดท้ายของเกม
ลีลานั้นทำให้ไม่ใช่แค่แฟนบอลเชลซีต้องลุกขึ้นเพื่อปรบมือให้ แม้แต่แฟนเดอะ ค็อปเองก็ลุกขึ้นเพื่อปรบมือให้เกียรติและขอบคุณนักฟุตบอลจอมมหัศจรรย์ผู้นี้ที่จะอำลาเชลซีหลังจบฤดูกาล และกลับไปใช้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตการเล่นกับกายารีในบ้านเกิด
แต่ถึงจะยิ่งใหญ่แค่ไหน สิ่งที่ทำให้โซลาเป็นที่รักของแฟนเชลซีมากที่สุดไม่ได้อยู่แค่ผลงานในสนาม
ความอ่อนน้อมถ่อมตน รอยยิ้ม ความซื่อ ความเป็นคนง่ายๆ ความเป็นคนเชยๆ บ้านๆ และที่สำคัญคือไมตรีที่มีให้กับแฟนบอลคือสิ่งที่ทำให้เขาเป็นนักฟุตบอลที่แฟนเชลซีรักมากที่สุดคนหนึ่ง
และจนถึงทุกวันนี้ความรักนั้นก็ยังคงอยู่เสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลง
นั่นอาจเป็นเวทมนตร์บทสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุดจากผู้วิเศษลูกหนังคนนี้