วันนี้ (29 กันยายน) ที่อาคารรัฐสภา บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดทำประชามติที่ได้แถลงต่อรัฐสภานั้น รัฐบาลทำฝ่ายเดียวไม่ได้ ขั้นตอนแรก รัฐบาลต้องปรึกษาคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพราะตามกฎหมายนั้นเป็นอํานาจหน้าที่ของ กกต.รัฐบาลโดยเฉพาะพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าเสียงประชามติ และเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญรวมอยู่ด้วย รัฐบาลก็ต้องปรึกษาพรรคประชาชน, พรรคเพื่อไทย, พรรคภูมิใจไทย และพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงสมาชิกวุฒิสภา เพราะรัฐบาลทำคนเดียวไม่ได้
บวรศักดิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องไทม์ไลน์นั้น นายกรัฐมนตรีแถลงไว้ว่าจะยุบสภาในวันที่ 31 มกราคม 2569 ซึ่งจะต้องมีการเลือกตั้งไม่เร็วกว่า 45 วัน และไม่ช้ากว่า 60 วัน ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่ง พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ กำหนดไว้แล้วว่า ถ้ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเพิ่มหมวด 15/1 เรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องเอาไปออกเสียงประชามติ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็บอกแล้วว่าต้องทำ 2 ครั้ง
ครั้งที่ 1 คือ ถามว่า จะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ 2. เห็นชอบด้วยกับวิธีการและเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญที่ส่งมาหรือไม่ แต่กฎหมายประชามติในวันนี้บอกว่าประชามติจะทำได้ไม่เร็วกว่า 90 วัน และไม่ช้ากว่า 120 วัน นับแต่วันที่ประธานสภาส่งเรื่องถึงนายกรัฐมนตรีและความซับซ้อนก็จะเกิดขึ้นอีก เพราะมีการเสนอร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ผ่านสภาไปแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการทรงพิจารณา ซึ่งตรงนั้นเขาก็ปรับเวลาว่า ทำประชามติได้ไม่ก่อน 60 วัน และไม่ช้ากว่า 150 วัน ตรงนี้แหละที่ต้องทำไทม์ไลน์กันให้ดี ก็ยังพูดอะไรแน่นอนไม่ได้ ขึ้นอยู่กับร่าง พ.ร.บ. ประชามติ ที่สภาแก้ไปแล้วจะพระราชทานลงมา หรือว่าจะลงพระปรมาภิไธย
บวรศักดิ์ กล่าวต่อว่า แต่ทั้งหมดก็คือความตั้งใจของรัฐบาล และรัฐบาลก็ต้องปรึกษากับพรรคการเมืองและสมาชิกวุฒิสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ กกต. ให้ประชาชนคนไทย ซึ่งคิดว่าฉลาดมาก จะไม่สับสนกับบัตร 4 ใบ จำได้ไม่ยาก พร้อมทั้งยกตัวอย่างเช่น ได้ปรึกษากับบรรดาพรรคการเมืองทั้งหลาย สมาชิกวุฒิสภา และ กกต. ว่า บัตรเลือกตั้งก็ให้ใช้บัตรปกติไม่ต้องมีสี
แต่ถ้าบัตรประชามติให้ใช้บัตรสีเหลือง และถ้าเห็นชอบด้วยให้กาในช่องสีเขียว ถ้าไม่เห็นชอบให้กาในช่องสีแดง ซึ่งไฟเขียวไฟแดงทุกคนก็รู้จัก ไฟแดงหยุด ไม่ต้องทำ ไฟเขียวแปลว่าไป ส่วน MOU กับกัมพูชาก็อย่างเดียวกัน ใช้กระดาษอีกสีหนึ่ง เช่น สีฟ้า อาจจะบอกว่า ถ้าให้ยกเลิก อาจให้กาในช่องสีเขียว หากไม่ให้ยกเลิกให้กาในช่องสีแดง
บวรศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 29 กันยายน สมาชิกรัฐสภาก็ให้ความเห็นว่าควรจะต้องมีการพูดคุยกันเพื่อให้แสดงความเห็นกันได้เต็มที่ ตนก็จะกราบเรียนนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีว่า เราควรขอความร่วมมือจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และให้บริษัท อสมท. และช่อง 11 จัดเวลาที่เท่าเทียมกันทุกวัน อันดับแรกคือ ชี้แจงให้ฟังในเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญว่ามีเนื้อหาสาระอย่างไร และให้ฝ่ายที่เห็นด้วยและฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมีเวลาเท่ากัน ส่วนเรื่อง MOUก็เช่นเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องชี้แจงก่อนว่า MOU ที่เอามาขอประชามตินั้นมีเนื้อหาอย่างไร และให้ฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยใช้เวลาเท่ากัน ซึ่งรัฐบาลคงทำได้อย่างนี้
บวรศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนสื่อโซเชียลนั้นรัฐบาลแตะต้องไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเป็นเสรีภาพของแต่ละคน แต่ตนเชื่อว่าคนไทยฉลาด ถ้าเราอธิบายให้ฟังให้ชัดเจนและสามารถให้เขาแยกได้ว่า อันนี้เป็นเรื่อง การลงคะแนนเลือกตั้ง 2 ใบ อันนี้เป็นเรื่องรัฐธรรมนูญ และอันนี้เป็นเรื่อง MOU มันไม่มีปัญหาหรอกครับ
ที่รัฐบาลต้องคิดอย่างนี้ก็เพราะว่า กกต. บอกว่าถ้าจัดแยกกันทำได้หรือไม่ ก็ต้องบอกว่าทำได้ แต่ทำครั้งหนึ่ง 6 พันล้านบาท เลือกตั้ง 6 พันล้านบาท, แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 6 พันล้านบาท, MOU 6 พันล้านบาท รวมเป็น 18,000 ล้านบาท แล้วเราจะเอาเหรอ ถ้าทำหนเดียว 6 พันล้านบาท อาศัยความชัดเจนที่ กกต. ทำบัตรเลือกตั้ง และอาศัยการที่รัฐบาลชี้แจงผ่านสื่อให้ชัดเจน และอาศัยการที่ให้ฝ่ายที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยสามารถแสดงออกได้อย่างเท่าเทียม คนไทยฉลาด เรื่องแค่นี้เขาทำได้แน่
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่บอกว่าการทำประชามติต้องหารือพรรคการเมืองทุกพรรคและ สว. มีการกำหนดเวลาไว้เบื้องต้นแล้วหรือยัง หรือต้องเร็วที่สุด บวรศักดิ์ กล่าวว่า เวลานี้มี 3 ร่าง คือ ร่างของพรรคภูมิใจไทย, ร่างของพรรคประชาชน, และร่างของพรรคเพื่อไทย ต้องหารือกันให้เร็วที่สุดเพราะต้องอาศัยทั้งพรรคที่เป็นรัฐบาลและฝ่ายค้าน รวมถึงสมาชิกรัฐสภา เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดเจนว่าจะผ่านวาระ 3 ได้ ต้องได้เสียง สว. หนึ่งในสาม ต้องได้เสียงของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ไม่น้อยกว่า 20% ก็ต้องหารือกัน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีความชัดเจนว่าจะใช้ร่างของพรรคไหนเป็นหลักหรือไม่ บวรศักดิ์ กล่าวว่าเป็นเรื่องของสมาชิกรัฐสภาฯ ตนตอบไม่ได้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะสามารถร่วมร่างกฎหมายเข้าด้วยกันได้หรือไม่ บวรศักดิ์ ตอบว่า ธรรมชาติก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่หรือ ทุกพรรคก็อยากให้ใช้ร่างของตัวเอง แต่ท้ายที่สุดก็ต้องมาเจรจาพูดคุยประนีประนอมจนออกมาให้เป็นที่ยอมรับได้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าคำถามประชามติได้คิดไว้แล้วหรือยังว่าจะเป็นอย่างไร บวรศักดิ์ กล่าวว่า ก็ต้องปรึกษากัน
เมื่อถามย้ำว่าสำหรับเรื่องรัฐธรรมนูญจะถามคำถามเดียวหรือสองคำถาม บวรศักดิ์ กล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญพูดชัดว่าต้อง 3 สามครั้ง โดยครั้งที่หนึ่งและสองสามารถรวมกันได้ ไม่ใช่แห่งเดียวในโลกที่ทำแบบนี้ อย่างฝรั่งเศสก็เคยถามประชามติเดียว 2 คำถามมาแล้ว แต่ตัวคำถามจะตั้งอย่างไรต้องหารือกัน รัฐบาลทำฝ่ายเดียวไม่ได้ จริงอยู่ว่าเป็นอำนาจของรัฐบาล แต่ต้องขอความเห็นและความยินยอมพร้อมใจของสมาชิกรัฐสภา ที่สำคัญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่มีอำนาจตามกฎหมาย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าในใจ บวรศักดิ์ มีคำถามไว้คร่าว ๆ หรือยัง บวรศักดิ์ กล่าวว่า มีแล้ว แต่ยังไม่อยากพูด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากได้คำถามแล้วต้องมาถามรัฐสภา หรือเป็นการหารือภายใน บวรศักดิ์ กล่าวว่า เป็นการประชุมภายใน เพราะอำนาจตั้งคำถามอยู่ที่ กกต. กับรัฐบาลจะปรึกษากัน เพราะประชามติ คนที่ต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา คือรัฐบาล แต่คนที่ดำเนินการคือ กกต. ซึ่งรัฐบาลทำคนเดียวไม่ได้ ก็ต้องถามสมาชิกรัฐสภาทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายค้าน, รัฐบาล, และ สว.