กลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่มีความเกี่ยวข้องหรือคาดว่าจะได้ประโยชน์จากกระแส AI ฟื้นตัวขึ้นอย่างโดดเด่นกว่าตลาดหุ้นโลกโดยรวม หากนับตั้งแต่จุดต่ำสุดวันที่ 8 เม.ย. 2025 ที่ตลาดหุ้นโลกปรับตัวลงจากความกังวลต่อประเด็นนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หรือ Tariffs จนมาถึงวันที่ 26 ส.ค. 2025 กลุ่ม S&P500 Information Technology ที่เป็นตัวแทนของกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากกระแส AI ตั้งแต่ต้นน้ำ เช่น NVIDIA, AMD, AVGO จนถึงกลางและปลายน้ำ เช่น Microsoft, Apple, Palantir ดัชนีนี้ปรับตัวขึ้นมากถึง +51% เมื่อเปรียบเทียบดัชนีหุ้นโลก MSCI ACWI ที่ปรับตัวขึ้นราว +28% ในช่วงเวลาเดียวกัน
โดยระดับดัชนีของกลุ่มอุตสาหกรรมนี้กำลังอยู่ในระดับที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ถึงแม้ว่ามุมมองของนักวิเคราะห์ในตลาดหลายคนจะเริ่มกลับมาเป็นบวกต่อกลุ่มหุ้น AI มากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี แต่นักลงทุนบางส่วนได้แสดงความกังวลต่อการปรับตัวขึ้นที่ร้อนแรงนี้ว่ากำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่หรือไม่ และฟองสบู่ลูกนี้กำลังใกล้แตกมากน้อยเพียงใด นักลงทุนชื่อดังอย่างคุณ Howard Marks ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานร่วมของ Oaktree Capital Management เตือนนักลงทุนให้ระมัดระวังกับความคลั่งไคล้และการมองโลกในแง่ดีที่มากเกินไปในกลุ่มหุ้น AI ที่อาจนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ในท้ายที่สุด
คำเตือนข้างต้นอาจทำให้นักลงทุนพิจารณาเพิ่มความระมัดระวังต่อการลงทุนในตลาดหุ้นมากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ได้เป็นสัญญาณอันตรายว่า ตลาดหุ้นจะฟองสบู่แตกและปรับตัวลงแรงในระยะเวลาอันใกล้เสมอไป
ในอดีตที่ผ่านมา มีบางครั้งที่ตลาดหุ้นอาจปรับตัวขึ้นต่อได้อีกสักพักหลังจากนั้น ซึ่งอาจส่งผลให้นักลงทุนพลาดโอกาสสำคัญในการลงทุนได้เช่นกัน ตัวอย่างที่เด่นชัดในอดีต คือ คำเตือนภาวะฟองสบู่ในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีของคุณ Alan Greenspan ซึ่งดำรงตำแหน่งประธาน Fed ในขณะนั้น เกิดขึ้นในเดือน ธ.ค. 1996 แต่ตลาดหุ้นฟองสบู่แตกในเดือน มี.ค. 2000 หรือยาวนานมากกว่า 3 ปีหลัง มีคำเตือนดังกล่าว ซึ่งในช่วงเวลานั้นดัชนี S&P 500 และกลุ่ม S&P 500 Information Technology ให้ผลตอบแทนสูงถึง +87% และ 345% ตามลำดับ ดังนั้น เราควรให้น้ำหนักการประเมินโอกาสและความเสี่ยงต่อการลงทุนกลุ่มหุ้น AI จากปัจจัยพื้นฐานด้านการเติบโตและระดับมูลค่ามากกว่า
การประเมินผ่านการเติบโต เมื่อพิจารณาจากผลประกอบการงวด Q2/25 ซึ่งรายงานไปแล้วประมาณ 90% ของจำนวนบริษัททั้งหมดในดัชนี S&P 500 ณ วันที่ 29 ส.ค. 2025 พบว่ากลุ่มอุตสาหกรรม Information Technology มีสัดส่วนบริษัทที่รายงานกำไรดีกว่าคาด มากที่สุดราว 90% ของจำนวนบริษัททั้งหมด เมื่อเทียบกับภาพรวมของดัชนี S&P 500 ที่มีสัดส่วนราว 81% นอกจากนี้ อ้างอิงจาก Bloomberg Consensus ณ วันที่ 26 ส.ค. 2025 คาดการณ์แนวโน้มกำไรต่อหุ้นของกลุ่ม Information Technology จะเติบโตสูงกว่าดัชนี S&P 500 ทั้งในงวด Q3/25 (+35% YoY vs +12% YoY) และ Q4/25 (+50% YoY vs +10% YoY)
หากพิจารณาลงลึกไปในกลุ่ม Big Tech จะพบว่าอัตราการเติบโตที่เร่งตัวขึ้นและดีกว่าตลาดคาดนั้น มาจากรายได้ธุรกิจ Cloud Computing ที่มีความเกี่ยวข้องกับ AI โดยตรง เช่น Microsoft Azure เติบโต +39% YoY, Google Cloud เติบโต +32% YoY และ AWS เติบโต +18% YoY ส่วนธุรกิจหลักอื่นๆ ของกลุ่ม Big Tech สามารถขยายตัวได้ดีเช่นกันจากการนำ AI มาประยุกต์เพื่อช่วยเพิ่มยอดขายหรืออัตรากำไรของบริษัททางอ้อม สะท้อนถึงเทคโนโลยี AI ที่เริ่มส่งผลกระทบเชิงบวกต่อผลประกอบการทั้งทางตรงและทางอ้อม นอกจากนี้ การที่ Microsoft, Meta, Alphabet และ Amazon ต่างปรับเพิ่มแผนการลงทุนใน AI Infrastructure เพื่อรองรับความต้องการการประมวล AI ดังกล่าว ช่วยตอกย้ำประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจของ AI นั้นมีอยู่จริง ไม่ได้เป็นเพียงกระแสชั่วคราวเท่านั้น
การประเมินระดับมูลค่าผ่าน 12M Forward P/E Ratio ในกลุ่ม S&P 500 Information Technology พบว่ามีระดับ P/E ที่ 29.3 เท่า ณ วันที่ 26 ส.ค. 2025 ซึ่งถือว่าอยู่ในโซนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบช่วง 5 ปีหลังสุด อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับช่วง Dot Com Bubble เมื่อเดือน มี.ค. 2000 ดัชนี S&P 500 Information Technology มีค่า P/E สูงราว 55 เท่า ซึ่งสูงกว่าระดับปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น ระดับมูลค่าในปัจจุบันของกลุ่ม IT เริ่มอยู่ในโซนที่ตึงตัวมากขึ้น แต่ยังห่างไกลจากช่วงพีคของฟองสบู่ Dotcom ปี 2000 อยู่มากพอสมควร
ในเชิงกลยุทธ์ เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนกลุ่มหุ้น AI ในระยะกลาง 3-6 เดือนข้างหน้า ราคาที่ปรับตัวขึ้นมาเร็วและแรง ส่งผลให้ระดับมูลค่าเริ่มตึงตัวมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงที่ราคาหุ้นมีโอกาสผันผวนหากมีปัจจัยลบเข้ามาในอนาคต แต่ในทางกลับกัน ระดับ Valuation ณ ตอนนี้ ถือว่าค่อนข้างห่างไกลจากภาวะฟองสบู่ช่วงปี 2000 นอกจากนี้ ความต้องการ AI ที่ยังเติบโตแข็งแกร่ง ทำให้เราเริ่มเห็นประโยชน์ในการนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปปรับใช้เพื่อเพิ่มรายได้หรืออัตรากำไรเด่นชัดมากขึ้น โดยเฉพาะภายในกลุ่มเทคโนโลยีด้วยกันเอง โดยคาดว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ จะทยอยนำ AI ไปประยุกต์ใช้ในวงกว้างมากขึ้นระยะถัดไป ซึ่งจะช่วยสนับสนุนรายได้และกำไรของกลุ่มหุ้น AI มีแนวโน้มเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดโดยรวมต่อไปเช่นกัน
ภาพ: Robert Way/Getty Images