หัวข้อในเนื้อหานี้
หลังจากที่ 3 ทายาททุนใหญ่วงการอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มเจ้าสัวเจริญ-โสภณพนิช-โรจนะ จับมือ กนอ. ทุ่มกว่า 20,000 ล้านบาท ร่วมทุนสร้าง ‘นิคมอารยะ’ ซึ่งคว้าทำเลทอง กิโลเมตรที่ 32 ของถนนบางนา-ตราด จ.สมุทรปราการ 4,600 ไร่
เพื่อรองรับอุตสาหกรรมอัจฉริยะ หรือกลุ่มไฮเทคใกล้กรุงเทพฯ สนามบินสุวรรณภูมิ เชื่อมต่อจากถนนบางนา-ตราด สู่ทางพิเศษกรุงเทพ-ชลบุรีสายใหม่ (Motorway) ซึ่งคาดว่าจะมีการจ้างงานกว่า 14,560 อัตรา ที่เปิดตัวไปเมื่อช่วงต้นปี 2025
วันนี้ (2 ก.ย.68) THE STANDARD WEALTH ได้เข้าชมโครงการ พร้อมสัมภาษณ์พิเศษผู้บริหารถึงความคืบหน้า
กมลกาญจน์ คงคาทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท อารยะ แลนด์ ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด กล่าวว่า นิคมนี้ไม่ได้เพียงพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ แต่กำลังสร้างระบบนิเวศ เพื่ออนาคตของอุตสาหกรรมไทย เป็นแคมปัสอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี, พื้นที่โลจิสติกส์, นิคมอุตสาหกรรมอารยะ และโซนไลฟ์สไตล์และบริการครบวงจรในที่เดียว เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจของนักลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ และเป็นโอกาสดึงดูดนักลงทุนเข้ามาตั้งฐานผลิตในไทย ท่ามกลางนโยบายภาษีสหรัฐฯ 2025
ปัจจุบัน โครงการ อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ มีความคืบหน้าก่อสร้างเฟส 1 ซึ่งปลายปีหน้าจะครบ 100% โดยขณะนี้ได้รับการประกาศเป็นพื้นที่ ‘นิคมอุตสาหกรรม’ อย่างเป็นทางการแล้ว และเพื่อสร้างจุดแข็งเชิงกลยุทธ์ โครงสร้างพื้นฐาน ได้ร่วมมือกับลูกค้า และพันธมิตร รายใหญ่ของไทยแล้ว 5 ราย
- กลุ่ม ปตท. (PTT Group): ให้บริการโซลูชันด้านพลังงานผ่านการใช้ก๊าซธรรมชาติ เพื่อเสริมความมั่นคงด้านพลังงานและสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรม
- เอไอเอส (AIS): พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร และเครือข่ายดิจิทัลด้วยระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (5G / Fiber Optic) เพื่อรองรับความต้องการของอุตสาหกรรมยุคใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยีอัจฉริยะ
- การไฟฟ้านครหลวง (MEA): ให้บริการจำหน่ายไฟฟ้าทั้งในระบบ 115kV/24kV อย่างเสถียร และเพื่อรองรับภาคอุตสาหกรรมใหม่
นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการจัดการพื้นที่ด้วยแนวทางการพัฒนา โครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การพัฒนาอาคารประหยัดพลังงาน และการผสานพลังงานแสงอาทิตย์เข้ากับระบบไฟฟ้าหลัก โดยได้มีการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาอาคารและพื้นที่โล่งในโครงการ ซึ่งส่วนใหญ่ลูกค้ารายใหญ่ๆมักจะมองหาทำเลที่มี Green Energy
ทั้งนี้ อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ นับเป็น นิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (Smart Industrial Estate) แห่งแรกของประเทศไทย ที่พัฒนาภายใต้กรอบองค์ประกอบ หลัก 7 ด้าน ได้แก่ Smart Facilities, Smart IT, Smart Energy, Smart Economy, Smart Governance, Smart Living และSmart Workforce ผสานรวมผ่าน One-Stop Service Platform
‘ชิป’ ยักษ์ใหญ่เยอรมัน เลือกนิคมอารยะ ฐานผลิตใหม่ ‘แห่งแรกอาเซียน’
กมลกาญจน์ เผยอีกว่า จากศักยภาพด้านทำเล โครงสร้างพื้นฐาน และแนวคิด โครงการ ล่าสุด นักลงทุนต่างชาติยักษ์ใหญ่ อย่าง ผู้นำด้านเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก คือ บริษัท อินฟินีออน เทคโนโลยีส์ แมนูแฟคเชอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์เบอร์ 1 จากเยอรมนี เลือกที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งโรงงานผลิต Back End แห่งใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้ซื้อที่ดินไปแล้ว 125 ไร่
“อินฟินีออนจะพัฒนาเป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ (Back End Production) ซึ่งเป็นแผนขยายฐานการผลิตในเอเชีย รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของโมดูลพลังงาน ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง และมีแผนเปิดโรงงานต้นปี 2026”
ทั้งนี้ อินฟินีออน เป็นผู้นำระดับโลกด้านเซมิคอนดักเตอร์ในระบบพลังงาน และ IoT ที่ครองส่วนแบ่งการตลาด 21.3% และครองตำแหน่งผู้นำตลาดใน ตลาดไมโครคอนโทรลเลอร์ระดับโลกอีกด้วย โรงงานนี้จะเกิดการจ้างงานทักษะสูง ซึ่งจะมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับวิศวกรคนไทย และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนใจด้านชิปเซมิคอนดักเตอร์
นอกจากนี้ ยังมี (IFMT) ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ระดับภูมิภาค อย่าง มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. (MR. D.I.Y.) (ประเทศไทย) รวมไปถึงผู้ให้บริการ Data Center ชั้นนำ ที่อยู่ระหว่างพิจารณาอีกหลายราย
“หากถามถึงสัญญาณการย้ายฐานผลิตมาไทยของทุนต่างชาติ ขณะนี้เห็นสัญญาณชัดเจนของผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมชิปเซมิคอนดักเตอร์ ที่สนใจติดต่อเข้ามามากที่สุด”
กมลกาญจน์ ระบุว่า ลูกค้าอุตสาหกรรมที่เป็นกลุ่มต่างชาติ ที่จะมาส่วนใหญ่จะสอดรับไปกับนโยบายอุตสาหกรรมใหม่ของ BOI ซึ่งมี 5 สาขาหลักที่เป็น Game Changer ของประเทศ เรียกได้ว่าเป็น New Growth Engine ของไทยในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น
- Bio-based & Green Industries (BCG)
- EV+Battery
- Data Center
- Digital
- Semiconductor and Advanced Electronics
“อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ ไม่ได้เป็นแค่พื้นที่อุตสาหกรรม แต่คือฟันเฟือง ดันอนาคตอุตสาหกรรมไทย ตั้งแต่เทคโนโลยีขั้นสูงไปจนถึงคุณภาพชีวิต ที่คาดว่าจะมีการจ้างงานคนไทยถึงหมื่นคน และพร้อมเป็นประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ให้กับนักลงทุนที่มองการลงทุนระยะยาว ซึ่งเฟสแรก ตั้งเป้าไว้ที่ 400 ไร่” กมลกาญจน์ กล่าว
เผยภาษีทรัมป์-การเมืองไทย ‘นักลงทุนมองข้ามช็อต’
เมื่อถามว่ามองบรรยากาศการลงทุนท่ามกลางปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และภาษีสหรัฐฯ อย่างไรนั้น “แน่นอนว่า เราเห็นสัญญาณการย้ายฐานผลิต ซึ่งเรื่องนี้ก็ล้อไปกับนโยบายภาครัฐ ดังนั้น จึงมีทั้งลูกค้ารายเล็กและรายใหญ่สนใจ ทั้งจีน ไต้หวัน ยุโรป สหรัฐฯและไทยเองในสัดส่วนเท่าๆ กัน”
เมื่อถามว่า หากเทียบแต้มต่อไทยและเพื่อนบ้าน อยู่ตรงไหนนั้น มองว่า เชื่อว่านักลงทุนมองโครงสร้างพื้นฐาน และลงทุนระยะยาว ประกอบกับความต่อเนื่องของนโยบาย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนเข้ามาบริหาร ก็ต้องเดินหน้าอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเป็นอนาคต ซึ่งขณะนี้ก็เรียกได้ว่ามาถูกทาง
ส่วน 4 เดือนที่เหลือจะเป็นอย่างไรนั้น “ไม่ว่าจะมีความท้าทายทั้งปัจจัยภายนอกและการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเชื่อว่า นักลงทุนมองข้ามช็อตนี้และต้องเดินหน้าลงทุนต่อ ซึ่งส่วนตัวมองว่าภาษีทรัมป์ท้าทายและยาก มากกว่าการเมืองภายใน” กมลกาญจน์ กล่าว
สำหรับ อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ (ARAYA-The Eastern Gateway) เปิดพื้นที่โครงการด้วยแนวคิด การเป็นนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ ครบวงจรแห่งแรกของไทย (Thailand’s First Industrial-Tech Ecosystem) โดยตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและอุตสาหกรรมระดับโลก ที่พร้อมรองรับเทคโนโลยีขั้นสูงและระบบนิเวศธุรกิจครบวงจร พร้อมผลักดันอุตสาหกรรม S-Curve ยกระดับสู่ ‘Township’ อุตสาหกรรมอัจฉริยะ ที่ผสานการบริหารจัดการนิคมฯ เทคโนโลยี
นิคมแห่งนี้เป็นการสร้างระบบนิเวศเมืองอุตสาหกรรมและนวัตกรรมครบวงจรรูปแบบใหม่ ที่ยังไม่มีในไทย ที่พัฒนาขึ้นภายใต้ Industrial-Tech Ecosystem จากการร่วมทุนของ 3 ยักษ์ใหญ่ ทายาทวงการอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่
- บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) (กลุ่มเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี)
- บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน)
- บริษัท นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย จำกัด หรือเอเชีย อินดัสเตรียล เอสเตท (โสภณพนิช)
สำหรับสัดส่วนการถือหุ้น
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (เจ้าของที่ดิน) ถือหุ้น 50%
นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ถือหุ้น 25%
และสวนอุตสาหกรรมโรจนะ ถือหุ้น 25%
ที่มาของชื่อ ‘อารยะ’ คือสื่อถึงอารยธรรม ความเจริญรุ่งเรือง ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของนวัตกรรม การเติบโตทางธุรกิจ ส่วน “ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์” สื่อถึงทำเลของโครงการที่เชื่อมต่อสู่ภาคตะวันออก และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมหลักแห่งใหม่ของประเทศ