วันนี้ (4 สิงหาคม) พล.ร.ต. สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย มาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ประจำวันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม 2568
พล.ร.ต. สุรสันต์กล่าวว่า สถานภาพรวมชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายยังคงวางกำลังในพื้นที่มั่นของตนเอง ไม่มีการเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญ ซึ่งมีรายงานว่าทางฝั่งกัมพูชาได้ดัดแปลงที่มั่นและเพิ่มเติมกำลังในพื้นที่หลัก ประกอบด้วย ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาควาย, ช่องโดนเอาว์, ช่องอานม้า, ช่องตาเฒ่า, เขาสัตตะโสม และภูผี โดยเพิ่มกำลังเข้ามาทดแทนกำลังที่สูญเสียในแต่ละพื้นที่ ทำให้บ่งชี้ได้ว่าฝั่งกัมพูชาได้รับการสูญเสียเป็นจำนวนมาก
พล.ร.ต. สุรสันต์ ยังกล่าวถึงการปฏิบัติต่อเชลยศึกว่า ปัจจุบันเราควบคุมตัวเชลยศึก 20 นาย และส่งกลับไปแล้ว 2 นาย ที่บาดเจ็บและป่วยทางจิต คงเหลือ 18 นายที่อยู่ในการควบคุมตัวของฝ่ายไทย แต่ปรากฏคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของกัมพูชาได้ส่งคำร้องไปยังสำนักข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) กล่าวหาว่าฝ่ายไทยควบคุมตัวทหารกัมพูชาผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ถือเป็นความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงที่ฝ่ายไทยขอประณาม
ทั้งนี้ อยากชี้แจงว่าทหารกัมพูชาที่ถูกคุมตัวทั้งหมดถือเป็นเชลยศึก ซึ่งมีคำจำกัดความว่า เป็นผู้สังกัดในกองทัพภาคีคู่พิพาท ซึ่งไทยและกัมพูชาถือเป็นประเทศภาคีอนุสัญญาเจนีวาที่มีผลบังคับใช้ในประเทศที่มีสงคราม หรือในภาวะขัดกันด้วยอาวุธ ทั้งหมดเป็นเงื่อนไขที่เราปฏิบัติตัวต่อผู้ที่ถูกควบคุมตัวในฐานะเชลยศึก และไทยได้ปฏิบัติด้วยการเคลื่อนย้ายเชลยศึกออกจากพื้นที่เสี่ยงทันที พร้อมจัดแพทย์ตรวจร่างกาย จัดหาอาหาร น้ำดื่ม และเสื้อผ้า อย่างเหมาะสมและเพียงพอ
ทั้งนี้ เมื่อสภาวะการขัดกันของอาวุธ หรือการรบสิ้นสุดลงก็จะปล่อยตัวเชลยศึกกลับประเทศ แต่ปัจจุบันแค่การหยุดยิงยังไม่ถือว่าเป็นการสิ้นสุดสภาวะการขัดกันของอาวุธ นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้มีหนังสือแจ้งไปยัง OHCHR เพื่อประท้วงต่อข้อกล่าวหาของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของกัมพูชา และในสัปดาห์นี้ฝ่ายไทยได้เชิญผู้แทนคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) และ OHCHR ลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมทหารกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัวด้วย
ส่วนประเด็นเรื่องศพของทหารกัมพูชา พล.ร.ต. สุรสันต์กล่าวว่า รัฐบาลและกองทัพบกกัมพูชาเพิกเฉยและละเลยต่อศพทหารของตนเอง ขณะที่ไทยแม้จะเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่ก็เคารพชีวิตและศักดิ์ศรีของมนุษย์ ไม่ว่าผู้นั้นจะสังกัดชาติใด ที่ผ่านมาไทยเล็งเห็นว่าการปฏิบัติต่อศพของทางฝ่ายกัมพูชาละเมิดหลักมนุษยธรรมสากลขั้นพื้นฐานในการทอดทิ้งร่างผู้เสียชีวิตโดยเฉพาะทหารของตนเอง และละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างชัดเจนตามอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 1 และ 4 ว่าด้วยการเก็บรักษาและเคารพร่างผู้เสียชีวิตจากการสู้รบ
สะท้อนถึงการละเลยศักดิ์ศรีความเป็นทหารของตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้า และอาจจะสร้างผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจของทหารกัมพูชาที่ยังมีชีวิตอยู่ นอกจากนี้ ยังขัดต่อหลักศาสนาและวัฒนธรรมของกัมพูชา ที่นับถือเป็นศาสนาพุทธ ละเมิดหลักศาสนาขนบธรรมเนียมอันศักดิ์สิทธิ์ของประเทศแต่ละฝ่าย ขณะเดียวกันยังกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขลักษณะข้ามแดน การไม่เก็บกู้ศพ นอกจากเรื่องของกลิ่น ยังเป็นเรื่องของความสกปรก และมีโอกาสที่จะแพร่เชื้อโรคต่างๆ ในพื้นที่ ซึ่งเป็นอันตรายต่อประชาชน และผู้ปฏิบัติหน้าที่บริเวณชายแดน จึงขอวิงวอนไปยังฝ่ายกัมพูชาเรื่องการเคารพสิทธิพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะทหารที่เสียสละสู้รบ
พล.ร.ต. สุรสันต์ กล่าวอีกว่า พบว่ามีการบินโดรนที่ผิดกฎหมายจำนวนมาก ซึ่งสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศห้ามบินโดรนตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม – 15 สิงหาคม 2568 ผู้ฝ่าฝืนจะต้องจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงขอเชิญประชาชน ทหารผ่านศึก นักศึกษาวิชาทหาร ช่วยกันตรวจสอบตรวจตรา โดยเฉพาะในพื้นที่ของกองทัพภาคที่ 1 และ 2 สอดส่องว่ามีผู้ประสงค์ร้ายหรือมีพฤติกรรมดังกล่าวหรือไม่ หากตรวจพบขอให้แจ้งไปยังศูนย์ต่อต้านโดรน หรือแจ้งเหตุที่สถานีตำรวจ หน่วยงานทหาร และหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่
สำหรับมาตรการเชิงรุก สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะลงพื้นที่ตรวจสอบการครอบครองโดรนทั่วประเทศ และขอความร่วมมือผู้ที่ใช้โดรนยึดถือและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งพบว่ามีผู้ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบบางส่วน จึงได้ตักเตือนไปแล้ว และต่อจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและเด็ดขาด โดยปัจจุบันไม่อนุญาตให้บินโดรนใดๆ ทั่วประเทศ ทั้งโดรนเชิงพาณิชย์หรือการเกษตร
ด้านมาระตีกล่าวว่า ตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก รวมไปถึงผู้บริหารระดับสูงของไทยยังคงใช้โอกาสต่างๆ ในการชี้แจงข้อเท็จจริงและจุดยืนของไทย ผ่านช่องทางการทูตและเวทีระหว่างประเทศที่สำคัญต่างๆ และให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ เพื่อให้ข้อมูลและตอบข้อสงสัยของมิตรประเทศ ตอกย้ำท่าทีของไทยที่ยึดมั่นการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ โปร่งใส และให้ข้อเท็จจริงโดยไม่บิดเบือน ทำให้ไทยได้รับการตอบรับที่ดีจากมิตรประเทศ ที่แสดงความเห็นใจและสนับสนุนแนวทางของฝ่ายไทย
นอกจากนี้ วันนี้กระทรวงการต่างประเทศได้จัดการบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศ มีผู้เข้าร่วมกว่า 121 คน จาก 74 ประเทศ 1 องค์กร และอีก 16 องค์การระหว่างประเทศ เพื่อรายงานถึงผลการลงพื้นที่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ขอส่งกำลังใจให้คณะผู้แทนไทยที่กำลังประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่จะกลับสู่โต๊ะเจรจา บนพื้นฐานของความสุจริตใจ เพื่อลดความตึงเครียด และแก้ไขปัญหาระหว่างกันอย่างสันติวิธี