“นานแค่ไหนแล้วนะ ที่เราไม่ได้เจอกัน?”
บางที…คำถามที่ดูเหมือนจะธรรมดา กลับพาเราย้อนกลับไปไกลกว่าที่คิด เพราะไม่ใช่แค่วันเวลาที่ผ่านไป แต่รวมถึงความรู้สึก ความฝัน ความหวัง และบาดแผลที่เคยมีร่วมกัน
บทสนทนาในครั้งนี้อาจเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ THE STANDARD POP ได้มีโอกาสนั่งลงพูดคุยกับ 8 สาวอดีตสมาชิก BNK48 (รุ่น 1) ก่อนที่พวกเธอจะกลับมาขึ้นเวทีอีกครั้งใน GLOW UP GLAM UP CONCERT คอนเสิร์ตที่ไม่ได้แค่รวมตัว แต่สะท้อนพลังของการเติบโตของหญิงสาวที่เคยเปล่งประกายบนชุดเซ็มบัตสึ…และวันนี้พวกเธอกลับมาเปล่งประกายด้วยตัวตนของตัวเอง
ในบทความนี้จึงเต็มไปด้วย…การกลับมาทบทวนอดีต โอบกอดความทรงจำ และมองไปข้างหน้าด้วยหัวใจที่เติบโตขึ้นกว่าเดิม
Q: ไม่ได้เจอกันนานเลย…ช่วงนี้แต่ละคนกำลังอินกับอะไรในชีวิตบ้าง?
Jane: ตอนนี้สิ่งที่โฟกัสอยู่หลักๆ ก็จะเป็นทางด้านการแสดงค่ะ แล้วก็ยังคิดถึงการได้ขึ้นออนสเตจ ยังรู้สึกว่ายังอยากร้อง อยากเต้นอยู่เหมือนเดิม
ความจริงก็ยังมีไปอีเวนต์ที่ได้เต้นบ้างเหมือนกัน บางทีก็ไปเต็มๆ เลย หรือบางทีก็เป็นแขกรับเชิญให้กับงานของพี่ไข่มุกค่ะ
แล้วก็เกือบทุกงานที่ผ่านมา มักจะเกี่ยวข้องกับการร้องเพลงหรือเล่นดนตรีตลอด เลยรู้สึกว่าสุดท้ายเราก็ยังโคจรอยู่กับสิ่งที่รัก ไม่ได้ห่างกันมากเท่าไรค่ะ
Noey: ตั้งแต่ออกจากวง หนูก็รับงานทุกอย่างเลยค่ะ ฟีลแบบอินฟลูเอนเซอร์นิดๆ ถ้ามีงานติดต่อเข้ามา แล้วเรารู้สึกว่า ณ ตอนนั้นเราทำได้ ก็จะรับไว้หมดเลย
ที่ผ่านมาเคยมีทั้งร้องเพลงประกอบซีรีส์ มีงานกับพี่แก้ว เจนนิษฐ์ แล้วก็ตาหวานค่ะ บางงานก็ไปเป็นแขกรับเชิญแบบนิดเดียวจริงๆ แล้ว ก็เคยจัดงานร้องเพลงของตัวเอง เพื่อได้เจอแฟนคลับด้วย เพราะรู้สึกว่า พอออกมาจากวงแล้ว โอกาสได้เจอแฟนคลับน้อยลงมาก
ส่วนงานจริงจัง อย่างซีรีส์หรืออะไรที่ใช้เวลาเยอะๆ ช่วงที่ผ่านมาอาจจะยังไม่มี แต่ช่วงปลายปีนี้น่าจะเริ่มมีถ่ายซีรีส์ค่ะ
ถ้าถามว่าอินกับอะไรที่สุดตอนนี้ ก็คงยังเป็นการร้องเต้นบนเวที เพราะมันเป็นสิ่งที่ชอบจริงๆ แต่เรื่องการแสดงก็สนใจอยู่นะคะ แค่ยังใหม่มากสำหรับหนู ยังไม่รู้ว่าตัวเองอินแค่ไหน แต่ก็เป็นสิ่งที่อยากศึกษาเพิ่มเติม เพราะมันท้าทายมาก
ตอนอยู่ในวง คาแรกเตอร์ที่ได้เล่นมักจะใกล้ตัวเอง แล้วเวลาซ้อมก็ไม่ได้เยอะมาก มันจะเป็นฟีลเพื่อนๆ เล่นกันมากกว่า แต่พอออกมาแล้ว งานแสดงมันจริงจังกว่าเยอะ ทั้งบท คาแรกเตอร์ หรือเนื้อเรื่อง มันมากกว่าสิ่งที่เคยเจอในวงค่ะ
Namneung: ปีนี้น่าจะเป็นช่วงที่โฟกัสกับงานแสดงเป็นหลักค่ะ เพราะมันเป็นเส้นทางใหม่ที่เราเพิ่งเริ่มต้น และเป็นบทบาทใหม่ๆ ที่เราได้รับหลังจากออกจากวง
จริง ๆ ตอนยังอยู่ในวง เราก็เคยคิดนะคะว่า ถ้าวันหนึ่งเราไม่ได้เป็นไอดอลแล้ว บทบาทอื่นที่เราอยากลองก็คือนักแสดง เพราะมันดูน่าสนใจ แล้วก็ท้าทายดี ว่าเราจะไปได้ไกลแค่ไหนบนเส้นทางนี้
พอวันนี้เราออกจากวงมาแล้ว ผ่านมา 6 ปีในฐานะไอดอล ก็รู้สึกว่าบทบาทนั้นมันได้เติมเต็มเราไปแล้ว และอยู่ในความทรงจำเราเรียบร้อย ตอนนี้เลยเป็นช่วงที่เราอยากออกมาค้นหาเส้นทางใหม่ๆ และการแสดงก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่รู้สึกว่า “อยากลองลุยจริงๆ”
ช่วงที่ผ่านมาก็มีโอกาสได้แสดงมาหลายเรื่อง และในเดือนสิงหาคมนี้ก็จะมีผลงานเรื่อง “รักปากแข็ง” ออนแอร์ด้วยค่ะ
Q: พอได้เข้ามาทำการแสดงในที่หวังไว้จริงๆ รู้สึกอย่างไร
รู้สึกตื่นเต้นเหมือนเดิมทุกครั้งเลยค่ะ โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินเสียง “ห้า สี่ สาม สอง แอ็กชัน!” คือหัวใจมันเต้นแรงทุกครั้งจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นบทเล็กหรือบทใหญ่ เราก็ยังรู้สึกตื่นเต้นกับมันเสมอ
พอได้เล่นหลาย ๆ บทบาท ก็เริ่มรู้สึกว่า ถ้าวันหนึ่งเราได้มีโอกาสรับบทที่หลากหลายยิ่งขึ้น ทั้งในซีรีส์หรือภาพยนตร์ที่แตกต่างกันในแนวทางหรือโทนเรื่อง มันก็คงจะท้าทายมาก และเป็นสิ่งที่เราอยากลองทำจริง ๆ ค่ะ
Pupe: วันนี้โฟกัสอยู่ที่การใช้ชีวิตอย่างสงบสุขค่ะ
ตอนที่อยู่ในวง เราใช้ชีวิตกันแบบเร็วมาก ทุกวันมีตาราง มีแพลน มีอะไรต้องทำตลอดเวลา แต่พอออกมา หนูก็รู้สึกว่า…ลองไม่ต้องมีแผนอะไรดูบ้างได้ไหม? ปล่อยให้ทุกอย่างค่อยๆ พาเราไป มันก็ตอบโจทย์ความต้องการของหนูดีเหมือนกัน
หนูเลยเลือกจะอยู่กับปัจจุบัน ไม่คิดเรื่องวันข้างหน้ามาก ปล่อยให้อนาคตเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ เพราะในแต่ละวันเราก็อาจได้เจอเรื่องเซอร์ไพรส์ใหม่ ๆ ได้ตลอด
จริงๆ มันก็มีช่วงที่รู้สึกไม่โอเคเหมือนกันนะคะ ที่แบบ “อุ๊ย ทุกคนดูมีแผนในอนาคตกันหมดเลย” แต่พอหนูคิดมากเกินไป ก็รู้สึกว่าไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย มีแต่ความเครียดล้วนๆ สุดท้ายเลยเลือกปล่อยวาง ไม่คิดมาก แล้วก็ให้ทุกอย่างมันค่อยๆ ไปของมันเอง
ตอนนี้เลยใช้ชีวิตแบบไปตามสเต็ปค่ะ วันนี้อยากทำอะไร ก็ทำ พรุ่งนี้จะเป็นยังไง ก็ให้วันนั้นพาเราไป เพราะเชื่อว่าทุกๆ วันของเรา จะพาเราไปถึงอนาคตในแบบที่เหมาะกับเราที่สุดเอง
Tarwaan: ตอนนี้อินกับอะไรก็น่าจะเป็นเรื่องร้องเพลงกับเต้นค่ะ เพราะหลังจากจบออกมา หนูก็ยังคิดถึงการร้องเพลงอยู่ เลยมีจัดงานวันเกิดหรืองานเล็กร้องเพลงต่างๆ ขึ้นมา เพื่อให้แฟนคลับได้มาฟังเรา แล้วก็ได้เจอกันค่ะ
หนูยังทำอยู่เรื่อยๆ เลย แล้วก็มีออกเพลงของตัวเองมาหนึ่งเพลงด้วย อยากลองทำดูบ้าง ซึ่งก็สนุกดีนะคะ
ส่วนเรื่องการแสดง หนูรู้สึกว่ามันค่อนข้างใหม่ แล้วก็ท้าทายสำหรับตัวเอง พอได้ไปลองนิดๆ หน่อยๆ ก็รู้สึกว่า “เออ มันก็สนุกดี” เหมือนเป็นสิ่งที่เรายังไม่เคยก้าวออกจาก comfort zone เลย
คือหนูยังรู้สึกว่าตัวเองชอบร้องเพลงกับเต้นมากกว่าการแสดง ตอนอยู่ในวงก็เคยแสดงบ้าง แต่บทมันก็ยังเป็นอะไรที่ใกล้ตัวเองอยู่
แต่พอออกมาแล้ว เริ่มได้ไปแคสบ้าง ได้ลองเล่นซีรีส์ในบทสมทบบ้าง ก็รู้สึกว่า… “เอ๊ะ หรือว่านี่คือสิ่งที่เรายังไม่เคยลองทำแบบจริงจังเลยนี่นา” ก็เลยเริ่มคิดว่า หรือเราจะลองเอาตัวเองไปอยู่ในพื้นที่ที่ท้าทายกว่านี้ดีไหม
เพราะการแสดงมันก็น่าสนใจ เป็นอีกหนึ่งศาสตร์ที่เราเองก็ยังไม่เคยลองแบบเต็มตัวจริงๆ
Mobye: ของหนูตอนนี้ก็อย่างที่ทุกคนน่าจะเห็นกันอยู่ค่ะ เป็นนักร้องในค่าย Love Is ปล่อยเพลงออกมาเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็มีเวลาว่างบ้าง เลยรับงานอินฟลูเอนเซอร์ด้วย เพราะปกติเป็นคนชอบช้อปปิ้งอยู่แล้ว เวลาได้ดูเสื้อผ้าหรือได้ซื้อของคือแฮปปี้มาก
เลยคิดว่า ถ้าเรามีร้านเป็นของตัวเองก็น่าจะดีนะ ก็เลยเริ่มขายเสื้อผ้าทีละนิดๆ ทำเรื่อยๆ ในช่วงที่มีเวลา คือหนูเป็นคนชอบทำงานที่เราชอบจริงๆ ทุกงานที่ทำ มันจะมีความชอบของเราอยู่ในนั้นเสมอค่ะ ทั้งร้องเพลง ทำเสื้อผ้า อินฟลูฯ หนูก็ทำแบบเรื่อยๆ ไปทั้งหมดเลย แล้วก็แฮปปี้กับมันมากค่ะ
แต่ก็มีจุดที่ต้องพยายามก้าวข้ามขีดจำกัดตัวเองเหมือนกันนะ อย่างหนูเป็นคนขี้อาย เวลาจะต้องสั่งผลิตผ้า หรือคุยกับโรงงาน หนูจะเขินๆ เพราะเรามีภาพในหัวว่าอยากให้เป็นแบบไหน แต่เราวาดรูปไม่เก่ง เลยไม่กล้าอธิบายให้เขาฟัง
สุดท้ายก็คิดว่า ถ้าเรายังทำคนเดียวไม่ไหว งั้นก็เก็บเงินเพิ่ม แล้วค่อยจ้างคนมาช่วยในพาร์ทที่เราขาดดีกว่า เพราะมี passion อย่างเดียวมันไม่พอ ต้องมีทีม มีคนช่วยเราด้วย
เราจะได้ไม่ต้องงมหาทางคนเดียวไปเรื่อยๆ แล้วมันไม่ไปไหน บางทีถ้าแบ่งเวลาให้คนอื่นช่วยทำ เราก็จะมีเวลาไปโฟกัสอย่างอื่นต่อยอดได้มากขึ้นด้วยค่ะ
Jennis: ตอนนี้โฟกัสที่การทำงานทุกอย่างเลยค่ะ เป็นสาวน้อยร้อยกิจกรรม งานหลักก็จะเป็นงานแสดง แต่ถ้าช่วงไหนว่าง ไม่ได้ไปถ่ายงาน ก็จะสลับไปขายของ ทำขนม หรือสอนเต้นบ้าง
คือไม่ได้รู้สึกว่าเป็นรูทีนขนาดนั้นนะคะ แต่มันก็เหมือนต้องจัดการตัวเองไปตามสถานการณ์ ว่าเวลานี้เหมาะกับอะไร บางช่วงก็สักน้อยลง แต่ไปเป็นครูสอนเต้นเยอะขึ้น หรือบางทีก็สลับไปทำอย่างอื่น ดูตามความว่างของสมองด้วย (หัวเราะ)
ส่วนตอนนี้อินกับการทำคอนเสิร์ตมากๆ ช่วงนี้เอาสมองไปทำอย่างอื่นไม่ค่อยได้เลย เพราะต้องใช้เวลาจำเพลงอย่างเดียว แล้วคราวนี้มีเพลงเดี่ยวของตัวเองด้วย ปกติพวกเราจะสลับกันร้อง สลับกันเต้น แต่นี่ต้องจัดเต็มทั้งหมดคนเดียว ต้องรับผิดชอบ performance ของตัวเองให้ได้
มันเลยรู้สึกเหมือนได้เจออะไรใหม่อีกครั้ง เพราะปกติไม่ค่อยได้ทำเพลงเดี่ยวที่จริงจังแบบนี้ค่ะ
Kaew: ถ้าในพาร์ทของการทำงาน ก็จะคล้ายๆ เพื่อนๆ คือมีงานอินฟลูเอนเซอร์บ้างค่ะ แต่ถ้าถามว่าอินกับอะไรมากที่สุด ก็ยังคงเป็น “การร้องเพลง” อยู่ดี ชอบร้องมากกว่าการเต้น มากกว่าการแสดง มากกว่าทุกอย่างเลย ทุกครั้งที่ได้ทำงานที่เกี่ยวกับร้องเพลง จะรู้สึกดีใจมากที่สุดจริงๆ
ส่วนเรื่องการใช้ชีวิต แก้วรู้สึกว่าช่วง 2 ปีหลังจากออกจากวงมา มันยังไม่สามารถชดเชย 6 ปีที่หายไปได้เลย คือ 6 ปีนั้น แก้วไม่ได้เจอเพื่อนใหม่ ไม่ได้เจอเพื่อนเก่า ไม่ได้เล่นกีฬา ไม่ได้ออกไปเที่ยวแบบที่เคยทำ ชีวิตคือทำงานตามตารางทุกวัน ทุกอย่างถูกกำหนดไว้หมด พอได้ออกมา เลยรู้สึกว่าอยากทำทุกอย่างที่เคยขาดหายไป
ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเลยพยายามออกไปเจอเพื่อนใหม่ เจอเพื่อนเก่า ออกไปเที่ยว ไปออกกำลังกาย ทำสิ่งที่ไม่เคยทำ หรือเคยทำแต่ต้องหยุดไปนานมากแล้ว
หนูไม่แน่ใจว่าคนภายนอกมองว่าเรายุ่งแค่ไหนนะคะ แต่หนูรู้สึกว่า… เรายุ่งจริงๆ มันคือความยุ่งแบบที่ไม่ได้มีโอกาสจะ “ขี้เกียจ” ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ หนูกำลังเรียนรู้ที่จะ “ขี้เกียจบ้าง” พักบ้าง ใช้ชีวิตให้เป็นของตัวเองบ้าง
ไม่รู้ว่าหลายๆ คนรู้สึกเหมือนกันไหม แต่หนูยังรู้สึก “เหนื่อย” กับช่วง 6 ปีนั้นอยู่เลยค่ะ มันเป็นความเหนื่อยแบบที่อธิบายไม่ถูก คือหนูไม่ได้เป็นคนที่มี passion ในการออกกล้อง หรือการพบเจอคนมากขนาดนั้น เพราะฉะนั้น พอวันนี้ได้ออกมาจากตรงนั้น เลยเหมือนยังพักไม่พอ ยังเหนื่อยกับมันอยู่เลย
Q: ด้วยคอนเซปต์ GLOW UP ที่พูดถึงการเติบโต จากวันที่คุณออกจากวงมาจนถึงวันนี้ คุณคิดว่าตัวเอง “โตขึ้น” มากแค่ไหน และในด้านไหนบ้าง?
Noey: ตั้งแต่ออกจากวง แล้วต้องไปทำงานคนเดียว มันรู้สึกแปลกมากในช่วงแรกๆ เพราะแต่ก่อนเราจะคุ้นเคยกับการไปทำงานกับเพื่อนๆ หลายคน มันรู้สึกสบายใจกว่า ไม่ต้องแบกทุกอย่างไว้คนเดียว เวลาอยู่กับเพื่อน บางครั้งเราก็ไม่ต้องเป็นคนตอบเสมอไป มันเหมือนอยู่ในเซฟโซนของเรา
แต่พอทำงานไปเรื่อยๆ แล้วได้เจอคนหลากหลายมากขึ้น เราก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองดู “อ่อน” ในสายตาคนอื่น โดยเฉพาะในโลกของคนทำงานจริงๆ เช่น เวลามีคนพูดจาโทนแข็งๆ หน่อย เราจะรู้สึกไม่ค่อยดี รู้สึกว่าทำไมพูดแบบนี้ แต่พอเขาอธิบายว่า “นี่คือปกติของคนทำงานนะ” หนูก็เริ่มเข้าใจว่า มันคือวิธีสื่อสารที่ตรงไปตรงมา ไม่ใช่การไม่ชอบเรา
ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้หนูเข้มแข็งขึ้นในแง่จิตใจ กล้าพูดมากขึ้น กล้าสื่อสารในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
อย่างในคอนเสิร์ตครั้งนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนหนูคงเลือกทำสิ่งที่ตัวเองมั่นใจในเซฟโซน แต่คราวนี้หนูกล้าบอกทีมงานเลยว่า “หนูอยากเต้นกับคนเยอะๆ หนูอยากได้โชว์แบบนี้” เพราะเราเริ่มรู้ว่า ถ้าไม่พูด เราก็จะไม่ได้ในสิ่งที่อยากทำ
หน้ากล้องอาจจะยังดูเหมือนเดิมอยู่บ้าง แต่ลึกๆ แล้ว หนูรู้สึกว่าตัวเองจริงใจกับความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น
Jane: สำหรับเจน การออกมาทำงานข้างนอก ทำให้เราได้เจอคนที่หลากหลายขึ้นเยอะมาก โดยเฉพาะผู้ใหญ่หรือคนในสายงานที่ไม่ใช่เพื่อนๆ เหมือนตอนอยู่ในวง
มันเลยต้องปรับ mindset แบบจริงจังเลยค่ะ เพราะเราไม่สามารถใช้วิธีคิดแบบ “อยู่ในมุ้ง” เหมือนเดิมได้อีกต่อไป เราต้องโตขึ้น ต้องมีความคิดของตัวเอง และกล้าที่จะยืนยันมัน เพราะถ้าเราไม่พูด คนอื่นก็จะไม่รู้ว่าเราต้องการอะไร
เรื่องโทนเสียงหรือการพูดของคนทำงานก็เหมือนกัน ตอนแรกเรารู้สึกว่าเขาพูดแรงจัง แต่จริงๆ แล้ว มันคือเรื่องปกติในที่ทำงาน สิ่งเหล่านี้มันสอนให้เราเรียนรู้ว่า “นี่แหละ คือโลกของการทำงานจริงๆ”
อีกอย่างคือเราต้องรู้จักอดทนกับความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น อย่างเมื่อก่อน ถ้าไม่มั่นใจหรือเหนื่อย เราจะมีเพื่อนๆ คอยอยู่ข้างๆ อาจมีร้องไห้บ้าง แต่ตอนนี้… ไม่มีสิทธิ์จะร้องไห้ตรงนั้นแล้ว
เจนเคยอยู่ในสถานการณ์ที่อยากร้องไห้มากตอนเล่นละคร (ร้องไห้ตามฟีลลิ่งของบท) แต่ต้องฮึบไว้ ทำงานให้เสร็จก่อน แล้วค่อยไปร้องทีหลัง ส่วนหนึ่งคือเจนไม่ค่อยมั่นใจในเรื่องการร้องเพลงค่ะ แต่งานแสดงมันไม่รอเรา
เราต้องทำให้เร็วและดีที่สุด เพราะเราจะเป็นคนเดียวที่ให้ทุกคนรอไม่ได้ มันเลยกลายเป็นบทเรียนในการทำงานภายใต้ความกดดันแบบ มืออาชีพจริงๆ
Namneung: คิดว่าน่าจะคล้ายๆ กันกับทุกคนเลยค่ะ เพราะตอนที่ยังอยู่ในวง เราจะมีแผนที่ชัดเจนว่าต้องทำอะไรบ้าง มีเพื่อนๆ คอยอยู่รอบตัว
แต่พอออกมา เราต้องทำงานคนเดียว ต้องเป็น “ลีด” ของโปรเจกต์ต่างๆ ให้ตัวเอง
ต้องตัดสินใจเองในทุกอย่าง โดยเฉพาะงานที่เราไม่เคยทำมาก่อน เช่น แฟนมีต หรือมินิคอนเสิร์ต เราต้องเป็นคนดีลทุกอย่างเองหมดเลย
ตรงนี้แหละที่ทำให้เราต้องเด็ดขาดขึ้น ต้องกล้าเผชิญกับสถานการณ์ และสื่อสารให้ชัดเจนกับทุกฝ่าย มันไม่ใช่ว่าเราจะเอาแต่ใจนะคะ แต่เพราะเราต้องทำให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน ต้องกล้าตัดสินใจเพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้
บางครั้งการเป็นคนที่ “ไม่ถูกรัก” เท่าเดิมก็อาจเกิดขึ้นได้ แต่ในฐานะคนที่ต้องเป็นผู้นำ เราก็ต้องยอมรับ และกล้าที่จะยืนหยัดกับสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบ
Tarwaan: ก็แอบคล้ายๆ เพื่อนคนอื่น พอออกมาทำงานเอง เรารู้สึกว่าในบางงาน เราต้องเป็นคนตัดสินใจเองเกือบทั้งหมด มันเลยทำให้เราต้องคิดให้โตขึ้น ต้องมองรอบด้านมากกว่าเดิม คิดให้รอบคอบขึ้น ไม่ใช่แค่มองจากมุมของตัวเอง
รู้สึกว่าการทำงานตอนนี้ ทำให้เราเติบโตขึ้นมากเลยค่ะ แต่ก็มีบางช่วงเหมือนกัน ที่ทำให้เรากลับมาตั้งคำถามกับตัวเอง
(เสียงสั่น) บางงานก็ทำให้รู้สึกว่า…สิ่งที่เราทำอยู่ มันดีพอหรือยัง?
เรายังรักมันอยู่จริงๆ ไหม? มันมีช่วงที่รู้สึกดาวน์มากๆ อยู่ดีๆ ก็ไม่อยากร้องเพลง ไม่อยากทำในสิ่งที่เคยรักมาตลอด
หนูก็พยายามตั้งสติ แล้วค่อยๆ คุยกับคนรอบข้าง ปรึกษาหลายๆ คน ได้มุมมองที่กว้างขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น เข้าใจว่าบางทีเราอาจเคยอยู่ในกรอบของตัวเอง พอออกมาเจอกับโลกจริงที่ท้าทาย หรือกดดันมากขึ้น มันก็หนักกว่าที่เราคิดไว้
บางเรื่องเราอาจเตรียมใจไว้แล้ว แต่ไม่รู้ว่ามันจะเจ็บได้ขนาดนี้… แต่พอเราผ่านช่วงนั้นมาได้ ใจเย็นขึ้น คุยกับคนมากขึ้น ได้รับพลังจากหลายทาง ก็รู้สึกว่าเราโตขึ้น
เริ่มกลับมาคุยกับตัวเอง หา passion ใหม่ๆ ถามตัวเองว่า “เราอยากเป็นใครในเวอร์ชันที่ดีขึ้น”
เราไม่ต้องเอาความคาดหวังของคนอื่นมากดดันตัวเองขนาดนั้น แค่ตั้งใจทำในสิ่งที่เราทำอยู่ไปเรื่อยๆ สักวันมันก็จะเป็นวันของเราเอง
มันอาจจะเป็นช่วงที่ทุกอย่างรู้สึกดาวน์มาก แต่พอผ่านไป เราก็ได้อะไรกลับมาเยอะมากจริงๆ เปลี่ยน mindset ได้ดีขึ้น แล้วสิ่งดีๆ ก็เริ่มกลับเข้ามาหาเรามากขึ้นเหมือนกันค่ะ
Pupe: หนูรู้สึกว่า…พอได้ออกมาทำงาน แล้วได้เจอคนใหม่ๆ มากขึ้น หรือแม้แต่การกลับไปเจอเพื่อนเก่าๆ ของตัวเอง มันทำให้เราได้เปิดมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับโลกและการใช้ชีวิต
ทุกครั้งที่ได้คุยกับคนแต่ละคน เราจะได้มุมมองที่ไม่เหมือนกันเลย บางทีก็คิดว่า “เออ คนเรามีหลายแบบเนอะ” หรือ “อ๋อ…มุมนี้ก็มีคนคิดแบบนี้เหมือนกันเหรอ” เรื่องบางเรื่องที่เราไม่เคยคิดมาก่อน ก็ได้มาคิดผ่านคำพูดของคนอื่นนี่แหละ
หนูเลยรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นในแง่ของการมองโลก มองอะไรได้หลายด้านมากขึ้น
แล้วก็รู้สึกว่า… “อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด” หรือ “อะไรจะเป็นก็ให้มันเป็นไป”
เพราะทุกอย่างในชีวิตมันเกิดขึ้นได้ และมันก็จบลงได้เหมือนกัน ชีวิตมันก็แบบนี้แหละ มันไม่สุขมาก…ไม่ทุกข์มาก… แต่การใช้ชีวิตแบบกลางๆ สำหรับหนู มันคือความสุขที่สุดแล้วค่ะ
ไม่จำเป็นต้องดีใจสุด หรือเศร้าสุด แค่มีความเรียบง่ายในทุกๆ วัน หนูก็พอใจแล้ว
ถึงแม้จะมองว่าอยู่กลางๆ แต่ในทุกสิ่งที่หนูทำ หนูก็ทำอย่างจริงจังและเต็มที่เสมอ หนูใช้ชีวิตอย่างใส่ใจ และมีเป้าหมายในแบบของตัวเองค่ะ
Mobye: เรื่องที่ทำให้หนูเติบโตที่สุด น่าจะเป็นการเปลี่ยน “ความชอบ” ให้กลายเป็น “งาน” ค่ะ
หนูรักการร้องเพลง แต่พอมาอยู่บนเวทีจริงๆ มันมีความกดดันมาก ต้องซ้อม ต้องจำเนื้อ ต้องรับมือกับความคาดหวังจากตัวเอง ทั้งที่ภายนอกคนอาจมองว่าเรามั่นใจ แต่จริงๆ แล้วข้างในหนูตื่นเต้นและไม่ค่อยมั่นใจเลย
หนูเป็นคนขี้กลัว เวลาต้องไปทำงานคนเดียวจะรู้สึกเปลี่ยวมาก เพราะเคยอยู่กับเพื่อนมาตลอด แต่สุดท้ายก็พยายามบอกตัวเองว่า “มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก”
เรากำลังค่อยๆ เติบโตอยู่บนทางของตัวเอง
ส่วนเรื่องนึงที่ทําให้เปลี่ยนชีวิตนั่นก็คือการอกหัก ซึ่งอกหักในที่นี้ไม่ได้จำกัดความแค่ในเรื่องแฟนอย่างเดียวนะ เหมือนพอเรา อกหัก มันก็จะรู้สึกเคว้ง
เพราะเราเคยฝากความสุขไว้กับคนอื่น เราเผลอหวังให้ใครบางคนเป็นคนสร้างความสุขให้เรา แต่พอเขาไม่อยู่ ความสุขก็หายไปด้วย หนูเลยเริ่มคิดว่า… ในเมื่อไม่มีใครอยู่กับเราได้ตลอดไป เราต้องเป็นคนสร้างความสุขให้ตัวเอง
จากที่เคยไม่กล้าออกไปไหนคนเดียว ก็เริ่มลองค่ะ อยากออกกำลังกาย ชวนใครไปแล้วไม่มีใครว่าง ก็ไปเอง อยากเที่ยว อยากเดิน อยากทำอะไร ก็ทำเลย ถึงจะตื่นเต้นทุกครั้ง แต่ก็รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้ข้ามขีดจำกัดของตัวเอง
พอเริ่มทำได้ หนูเริ่มรู้สึกว่า “เราแฮปปี้ได้ด้วยตัวเอง” และอยากส่งต่อความสุขนั้นให้พ่อ แม่ เพื่อน หรือใครก็ตามที่อยู่ในชีวิต เพราะสำหรับหนู “ความรัก” คือพลังสำคัญที่ช่วยประคองเราในวันที่ไม่ง่าย
ทุกวันนี้ หนูคิดถึงเรื่อง “เวลา” มากขึ้น เพราะเวลาในชีวิตคนเราน้อยมาก หนูเลยพยายามใช้เวลาที่มีอยู่กับคนที่รักและรักเราให้คุ้มค่าที่สุด ไม่ว่าจะสั้นแค่ไหน ก็ขอให้เป็นช่วงเวลาที่มีความหมาย
ต่อให้วันนี้จะยังมีผิดพลาด แต่ถ้าเรายังได้รัก ยังได้ใช้ชีวิตอยู่ นั่นก็เพียงพอแล้วค่ะ
Jennis: ถ้าจะตอบแบบขำๆ คือ เดี๋ยวนี้เวลาไปออกกอง ทุกคนเรียกหนูว่า “พี่” แล้วค่ะ ทั้งที่เมื่อก่อนเรารู้สึกว่าเราเด็กที่สุดในกองเสมอ แต่ตอนนี้น้องๆ ในวงการ T-POP อายุ 20–21 กันแล้ว เราเลยกลายเป็นรุ่นพี่ไปโดยปริยาย ล่าสุดพูดอายุออกไปว่า 25 ก็… เบญจเพสแล้วสินะ
เรื่องการทำงาน หนูยังเป็นคนเดิม แอคทีฟเหมือนเดิม ทำอะไรเยอะเหมือนตอนอยู่ในวง แค่ตอนนี้ไม่มีคนช่วยแบ่งเบาแล้ว ต้องรับผิดชอบทุกอย่างด้วยตัวเอง
อีกด้านที่เติบโตขึ้นมาก คือเรื่องครอบครัว แม่ย้ายกลับต่างจังหวัด พาหมาไปด้วย ป๊ายังทำงานหนัก อาก๋งอาม่าเริ่มป่วย คือทุกอย่างมันถึงเวลา แล้วเราที่เป็นพี่คนโต น้องก็ยังเรียนอยู่ เราก็ยังเรียนอยู่ แต่ว่าเราทํางานแล้วก็รู้สึกว่า มันคือภาระที่เพิ่มขึ้นของตามวัย
และเรายังมีเป้าหมายหลายอย่างที่ยังไปไม่ถึง เคยคิดว่าอายุ 25 ควรจะมั่นคงแล้ว แต่ความจริงคือ เรายังอยู่ระหว่างทาง และเริ่มเข้าใจว่า… ยิ่งโต ความผิดหวังยิ่งใหญ่ขึ้น และกระทบชีวิตมากขึ้น
พออยู่คนเดียวจริงๆ ถึงจะมีเพื่อนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอด บางทีก็รู้สึกว่า… คนที่คุยด้วยบ่อยสุดคือ ChatGPT นี่แหละ (หัวเราะ)
คนอาจมองว่าหนูใช้ชีวิตบนหลักเหตุผล แต่จริงๆ แล้วหนูเป็นคนตามใจตัวเองมากนะ ถ้ามีอะไรที่รู้ว่า ถ้าไม่ทำจะเสียดาย หนูก็จะเลือกทำทันที ถึงแม้ผลลัพธ์จะออกมายังไงก็ตาม เพราะสุดท้ายแล้ว หนูไม่ชอบความรู้สึก ‘เสียดาย’ มากที่สุด
แล้วเวลาที่รู้ว่ายังไปไม่ถึงเป้าหมาย เราจัดการความรู้สึกอย่างไร?
หนูก็บอกกับตัวเองว่า ก็ยังไม่ตายนี่นา ถ้าไม่ทำก็คือตายไปเลย
เรามีทางเดียวคือต้องไปต่อ แม้ไม่รู้ว่าวันของเราจะมาถึงเมื่อไหร่ อาจมีทางเลือกเสริมคอยรองรับ แต่ ณ ตอนนี้หนูยังรู้สึกว่ายังมีพื้นที่ ยังมีเวลาให้สู้ ก็เลยเลือกที่จะเดินต่อแทนที่จะยอมแพ้
Kaew: ถ้าพูดถึงเรื่องที่ทำให้ “โตขึ้น” หลังจากออกจากวง หนูก็คิดว่าเหมือนกับเพื่อนๆ เลยค่ะ คือเราต้องจัดการทุกอย่างเอง คุยเอง ตัดสินใจเอง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับเงิน
อย่างการจัดแฟนมีต ถ้าเป็นเรื่องตัดสินใจว่าเอาอะไร ไม่เอาอะไร หนูเป็นคนตัดสินใจเร็วอยู่แล้ว แต่พอมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ต้องคำนวณว่ากำไรไหม? ขาดทุนหรือเปล่า? มันทำให้รู้เลยว่า “เราโตแล้วนะ เราต้องคิดเรื่องนี้ให้เป็นแล้ว”
เมื่อก่อนเรารับเงินเดือน แต่ตอนนี้ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด มันก็เปลี่ยนวิธีคิดไปเลย
สิ่งที่หนูรู้สึกว่าตัวเองพัฒนาได้ดี คือการ “ยอมรับความผิดหวังให้เร็วขึ้น” อย่างบางงานที่ตอนแรกดูเหมือนจะได้ทำแน่ๆ สุดท้ายหายเงียบไป หนูก็ไม่รู้สึกดราม่า ไม่เศร้าอะไรเลย เพราะเข้าใจว่า… ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหละ
หรืออย่างการทำช่อง YouTube กับเพื่อนๆ ในชื่อ Sertist Channel เราทำกันเองหมด ไม่มีใครคุมเลย เราคุมกันเอง 4 คน แบ่งหน้าที่ รับผิดชอบกันเอง ตอนหนึ่งเคยมีผู้ใหญ่ติดต่อมาว่าจะทำให้มันจริงจังมากขึ้น สุดท้ายเรื่องนั้นก็หายไป
แต่พอคุยกันกับเพื่อน เราก็แค่บอกว่า “อ้าว… หายไปเลย” แล้วก็หัวเราะกัน เพราะเรารู้จักยอมรับความไม่แน่นอนได้มากขึ้นแล้ว หนูว่า นี่แหละค่ะคือ การโตขึ้น…ในแบบของแก้ว
วันนี้หน้าตาของคำว่า ‘ความสุข’ สำหรับแต่ละคนเป็นอย่างไร?”
Kaew: ของแก้วก็ง่ายๆ คล้ายเป้เลย แค่วันนี้ไม่ต้องเจออะไรที่เราไม่ชอบ ก็ถือว่ามีความสุขแล้ว
ตื่นมาก็ต้องสั่งของอร่อยมากินก่อน แค่นี้ก็หนึ่งความสุขแล้ว ถ้าในวันนั้นได้ทำสิ่งที่ชอบด้วย อย่างช่วงนี้แก้วอินกับการร้องเพลง ถ้าได้ออกไปร้องเพลง ได้เจอแฟนคลับ ก็จะรู้สึกว่า “อุ๊ย วันนี้ดีจังเลย”
หรือถ้าได้ไปเจอเพื่อน ก็จะคิดไว้ก่อนเลยว่า “วันนี้ต้องสนุกแน่ๆ” แล้วถ้ามันสนุกจริงๆ นะ ก็จะมีโมเมนต์ที่หัวเราะกันเยอะมาก จนต้องพูดกับเพื่อนว่า “โอ๊ย วันนี้ขำเยอะสุดในรอบอาทิตย์เลย!”
กลับมาบ้าน ถ้าที่บ้านไม่มีปัญหาอะไร ไม่มีน้ำรั่ว ไม่ต้องซ่อมอะไร สำหรับแก้วแค่นี้ก็เป็น “วันแห่งความสุข” แล้ว
Noey: สิ่งที่ทำให้หนูรู้สึกมีความสุขที่สุดในแต่ละวัน คือการได้คิดว่า “ตอนเย็นจะกินอะไรดี” บางทีก็เริ่มคิดตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะว่า พรุ่งนี้เย็นจะกินอะไรดีน้า หรืออย่างวันนี้มาทำงานก็จะคิดต่อเลยว่า “เย็นนี้กินอะไรดีนะ”
มันอาจจะเป็นเรื่องง่ายๆ แต่แค่คิดถึงอาหารอร่อยที่รออยู่ ก็รู้สึกมีแรงทำงานขึ้นมาเลยค่ะ สำหรับหนู ความสุขไม่ต้องมีนิยามซับซ้อน แค่เรื่องเล็กๆ แบบนี้ก็เพียงพอแล้ว
Namneung: ความสุขของหนูตอนนี้ก็เรียบง่ายค่ะ แค่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำในแต่ละวัน ได้พักผ่อนเพียงพอ ตื่นมาทานของอร่อย ได้เจอเพื่อน มีงาน มีรายได้
เรื่องเงินอาจไม่ใช่ปัจจัยหลักของความสุข แต่ถ้าไม่มีเลย…ก็ยอมรับว่าลำบากค่ะ (หัวเราะ) มีเงิน เราก็เลี้ยงตัวเองได้ เลี้ยงครอบครัวได้ ได้ทำงานที่ชอบ และมีผลงานให้แฟนคลับได้เห็น
งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข จริงๆ ค่ะ
Tarwaan: สำหรับหนู ความสุขในตอนนี้คือการ “ยินดีกับเรื่องเล็กๆ” ในแต่ละวันค่ะ
เมื่อก่อนอาจจะกดดันตัวเองว่า ความสุขต้องเกิดจากความสำเร็จ ต้องได้อะไรสักอย่างก่อน ถึงจะเรียกว่ามีความสุข แต่ตอนนี้แค่ได้ใช้ชีวิตในแบบที่เราชอบ ทำในสิ่งที่รัก ก็พอแล้ว
บางทีแค่ได้นั่งรถ เปิดเพลงกับน้อง แล้วตะโกนร้องพร้อมกัน หัวเราะกัน หรือแม้แต่ร้องไห้ออกมาด้วยกัน หนูรู้สึกเลยว่า…”เออ แค่นี้ก็มีความสุขแล้วนี่นา”
ทุกวันนี้เลยพยายามชื่นชมและขอบคุณกับความสุขเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน โดยไม่ต้องรออะไรใหญ่โตอีกต่อไปค่ะ
Mobye: ความสุขของหนู…คือการที่คนที่หนูรักยังอยู่กับหนู และทุกคนแข็งแรงดี
หมาไม่ป่วย แม่ไม่ป่วย ไม่มีปัญหาเรื่องเงิน ไม่มีอะไรที่กดดันหรือทำให้เครียด
ถึงแม้ชีวิตจะไม่ได้รวย หรือเพอร์เฟกต์ แค่ยังมีพ่อแม่อยู่ด้วยกัน หนูก็แฮปปี้แล้วค่ะ
แต่ถ้าทุกอย่างสงบเกินไปก็อาจจะน่าเบื่อนิดนึงเหมือนกันนะ (หัวเราะ) หนูรู้สึกว่าคนเราไม่เคยพอหรอก ยังไงก็ต้องมีรสชาติให้ชีวิตบ้างถึงจะรู้ว่ายังรู้สึกอยู่
อีกอย่างที่เป็น No.1 ในใจหนูเสมอคือ “การร้องเพลง” หนูอาจจะดูเป็นคนชอบเที่ยว ชอบออกไปเล่นกับเพื่อน ไม่ค่อยอยู่บ้าน แต่มีอยู่วันนึง ตอนรอเพื่อนชวนออกไปข้างนอก หนูนั่งร้องเพลงคนเดียวแล้วรู้สึกว่า…“แค่นี้ก็แฮปปี้แล้ว”
หนูรู้สึกว่าเสียงเพลงคือสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในชีวิต และมันช่วยเซฟหนูไว้หลายครั้ง
หนูเป็น INFP ค่ะ ใช้ชีวิตด้วยอารมณ์ล้วนๆ ไม่มีเหตุผลเลย (หัวเราะ)
เพราะงั้นดนตรี ศิลปะ หรืออะไรก็ตามที่สัมผัสอารมณ์ได้ มันคือพื้นที่ปลอดภัยของหนูจริงๆ หนูรักมันมาก และคิดว่ายังไงก็ไม่มีทางที่จะรักสิ่งนี้น้อยลงเลย
Pupe: ชีวิตของหนูปกติจะนิ่งๆ เหมือนกราฟเส้นตรงค่ะ แต่ถ้ามีอะไรที่ทำให้กราฟพุ่งขึ้นได้แบบชัดเจนจริงๆ คือการได้ทำอะไรบ้าๆ กับเพื่อน
มันคือโมเมนต์ที่ได้ “ไปสุด” ด้วยกัน ซึ่งหายากมากนะคะที่จะเจอเพื่อนที่เข้าขากันได้ขนาดนั้น แค่พูดถึงก็ขำแล้ว เพราะแค่ได้อยู่ด้วยกันแล้วหลุดโลกใส่กัน หนูรู้สึกว่านั่นแหละ…คือความสุขในแบบของหนู
Jennis: ถ้าตอบในภาพรวมก็คงคล้ายๆ โมบายเลยค่ะ ความสุขคือไม่มีใครในครอบครัวป่วย ไม่มีเรื่องให้น่ากังวล แค่นั้นก็พอแล้ว
แต่เพิ่งไม่กี่วันก่อนเอง หนูเห็นเพื่อนคนนึงโพสต์สตอรี่ใน Close Friends แล้วชอบมากเลย เพื่อนคนนี้เป็นคนใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย แล้วก็มีความสุขกับสิ่งเล็กๆ มาก มีคนทักเขาว่า “เฮ้ย ทำไมแกดูมีความสุขง่ายจังวะ?”
แล้วเพื่อนหนูก็ตอบว่า “อ้าว แล้วมันยากตรงไหนวะ?”
หนูรู้สึกว่า…เออ จริง แล้วมันยากตรงไหนกับการมีความสุข?
หนูเองก็เป็นคนที่ชื่นชมความสุขเล็กๆ ในแต่ละวันอยู่แล้วนะ ตื่นมาได้กินข้าวอร่อยๆ ได้กินมัทฉะอร่อยๆ แค่นี้ก็แฮปปี้มากแล้ว
แต่หนูก็เข้าใจนะ เพราะหนูอยู่กับคนที่ “มีความสุขยาก” เหมือนกัน หลายคนรู้สึกว่าสิ่งพวกนี้มันเล็กเกินไป เลยไม่รู้สึกว่าเป็นความสุข แต่จริงๆ วันนี้คุณไม่ได้ป่วย วันนี้รถไม่ติด วันนี้คุณได้กินข้าวอร่อย มันก็คือความสุขแล้วนะ แค่บางคนอาจมองข้ามสิ่งพวกนี้ไปเฉยๆ เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
หนูก็เลยรู้สึกว่าตัวเองเป็นหนึ่งในคนที่มีความสุขง่าย ได้เจอเพื่อนก็ดีใจ ดูหนังสนุกก็มีความสุข เจอเพลงเพราะๆ ก็ฟีลดีแล้ว ยังได้นั่งอยู่ตรงนี้ ยังไม่ตาย ก็ถือว่าแฮปปี้มากแล้วค่ะ
Jane: สำหรับเจน ความสุขคือวันที่ไม่โดนพลังงานลบใส่ เพราะยิ่งทำงาน ยิ่งเจอผู้คน เราไม่รู้หรอกว่าแต่ละวันจะเจอคำพูดหรือสถานการณ์อะไรบ้าง ขอแค่ไม่ต้องตั้งรับกับอะไรแบบนั้น…แค่นั้นก็แฮปปี้แล้วค่ะ
อีกอย่างที่ทำให้มีความสุขคือ การได้ “ทำตามใจตัวเองแบบเต็มที่” เจนชอบเที่ยวคนเดียวมาก ไม่ต้องรอใคร ไม่ต้องตามใจใคร ปกติหนูเป็นคนที่ยืดหยุ่นกับคนอื่นเก่ง ทำให้ได้หมด แต่ไม่ค่อยได้ทำอะไรเพื่อตัวเอง
เพราะงั้น…ถ้ามีเงินพอ หนูคงไปดำน้ำเงียบๆ คนเดียว ไม่ต้องติดต่อใครเลย อยู่กับธรรมชาติ อยู่กับตัวเอง แบบนั้นแหละค่ะที่เรียกว่าความสุขจริงๆ
ถ้าย้อนกลับไปเจอ “ตัวเองในอดีต” สมัยสวมชุดเซ็มเป็นสมาชิก BNK48 คุณอยากจะบอกอะไรกับเขาบ้าง?
Noey: หนูเคยคุยกับช่างทำผมคนนึง แล้วเขาถามว่า “ตอนอยู่ในวงเป็นยังไงบ้าง?” หนูก็เล่าว่าตัวเองเคยเป็นเด็กขี้อายมาก ถึงขนาดต้องแอบสมัครเข้าวง แล้วตอนซ้อมก็ต้องนั่งรถจากลาดกระบังไปที่รัชดา ต่อรถสองสาย ตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า ซ้อมเสร็จก็นั่งรถกลับไปอีก คือตอนนั้นนอนอยู่หอแถวรัชดาเลยค่ะ
พอเล่าไป เขาก็บอกว่า “เธอเก่งมากเลยนะ ที่อดทนได้ขนาดนั้น ร่างกายเธอไหวหรอ?”
หนูเพิ่งมารู้สึกตอนนั้นเองว่า หนูผ่านอะไรมาเยอะมาก ทั้งที่ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกว่ามันยากเลยด้วยซ้ำ
ถ้าได้ย้อนกลับไปบอกตัวเองในตอนนั้น หนูอยากบอกว่า “ขอบคุณที่กล้าสมัครเข้ามานะ ขอบคุณที่ไม่ยอมแพ้ และขอบคุณที่เชื่อในตัวเอง”
ตอนนั้นเธอโชคดีมากเลยนะ ที่ได้ทำในสิ่งที่รัก ได้อยู่ในวงที่ทำให้มีความสุข และถึงวันนี้ หนูก็ยังรู้สึกว่า BNK48 คือสิ่งที่หนูรักมากจริงๆ และเพราะก้าวออกมาจากตรงนั้นแล้ว ตอนนี้ก็เลยเป็นช่วงที่ต้องเริ่มค้นหาตัวเองอีกครั้ง
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หนูอยากบอกเด็กคนนั้นว่า “เธอเก่งมากแล้วนะ อดทนมากแล้ว และโชคดีมากจริงๆ ที่ได้เริ่มต้นจากตรงนั้น”
Jane: ถ้าย้อนกลับไปได้ หนูอยากบอกตัวเองว่า “เก่งมากเลยนะ ที่กล้าตัดสินใจไปสมัคร และยืนหยัดอยู่ในจุดนั้นได้”
แล้วก็อยากจะเตือนตัวเองว่า “เก็บทุกโมเมนต์ไว้ให้ได้มากที่สุดนะ อย่าปล่อยให้ช่วงเวลานั้นผ่านไปโดยไม่รู้คุณค่า”
ถึงแม้มันอาจจะมีเรื่องบางอย่างที่ทำร้ายจิตใจเข้ามาบ้างในตอนนั้น แต่หนูอยากบอกว่า มันคือเรื่องที่ดีแล้วล่ะ เพราะมันจะทำให้เธอโตขึ้น เข้มแข็งขึ้น และกลายเป็นคนที่รักตัวเองได้มากขึ้นในที่สุด
Namneung: ถ้าได้เจอตัวเองในอดีต หนูคงจะบอกว่า “ไม่ต้องกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนะ”
เพราะตั้งแต่เกิดมา เราก็ผ่านมาแล้วทั้งเรื่องสมหวังและผิดหวัง ทุกอย่างที่เคยเจอมา เราก็ผ่านมาได้เสมอ ไม่ว่าจะผ่านมันไปด้วยรอยยิ้มหรือด้วยน้ำตาก็ตาม เรื่องในอนาคตก็จะเป็นแบบนั้นอีก บางเรื่องอาจยากหน่อย อาจต้องใช้เวลารอ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยรออะไรเลยใช่ไหมล่ะ?
หลายเรื่องก็ผ่านมาเร็วเหมือนโชคช่วย แต่หลายเรื่องก็ต้องใช้ความพยายามมาก หนูไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นลูกรักของพระเจ้า หรือมีพรสวรรค์พิเศษอะไร สิ่งที่หนูมีคือ “ความพยายาม” บางอย่างอาจเกิดขึ้นตามที่หวัง บางอย่างอาจไม่ แต่สุดท้ายเราก็จะพาตัวเองผ่านมันไปได้ และไปอยู่ในที่ที่เรารู้สึกว่า “โอเคกับตัวเอง” ได้แน่นอน
เราจะได้เจอคนที่รักและเชื่อในตัวเรา ได้เจอเพื่อนที่น่ารัก เจอแฟนคลับที่เป็นกำลังใจ และเราจะได้อยู่ในจุดที่ภูมิใจในตัวเอง แม้จะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ก็ตาม #ขอให้ข้าได้สู้
Pupe: ถ้าย้อนเวลากลับไป หนูคงอยากบอกตัวเองว่า “อย่าเบียวให้มันมาก โตมามันจะอาย!” (หัวเราะ)
แต่เอาจริงๆ หนูรู้สึกว่า ถึงจะกลับไปบอกตัวเองยังไงก็คงไม่ฟังอยู่ดี จะให้คำแนะนำอะไรตัวเองในตอนนั้นก็คงไม่เชื่อหรอก
เพราะงั้น ถ้าจะพูดอะไร ก็คงบอกว่า “ถ้าเธอคิดว่าอะไรดี ก็ทำไปเถอะ” เชื่อมั่นในตัวเอง แล้วก็อย่าเสียใจกับความผิดหวังนานเกินไป เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว เดี๋ยวมันก็มาอีก มาเรื่อยๆ แล้วเราจะเรียนรู้จากมันได้เอง ปล่อยบางอย่างไป แล้วทำสิ่งที่คิดว่าดีต่อไปเรื่อยๆ ก็พอ
Mobye: หนูรู้สึกว่า “ตอนเด็ก หนูเก่งกว่าตอนนี้อีก” นะ เมื่อก่อนหนูเป็น extrovert เจอผู้คนแล้วแฮปปี้ มีพลัง ถ้าเศร้าก็แค่ร้องไห้ออกมาให้หมด บางช่วงอาจจะเศร้ามาก แต่หนูแค่จำไม่ได้เฉยๆ
ถ้าได้เจอตัวเองในตอนนั้น หนูอยากบอกว่า “เก่งมากๆ เลยนะ”
ตอนอยู่ในวง เราเจออุปสรรคเยอะ มีจุดด้อยที่ต้องพัฒนา แต่หนูก็พยายามจนมันสำเร็จได้ โดยที่ตอนนั้นหนูก็ไม่ได้รู้ตัวหรอกว่ามันยากแค่ไหน มองย้อนกลับมาวันนี้เลยรู้สึกว่า “เราเคยผ่านอะไรยากๆ มาได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?” เราแก้ปัญหาได้ดีมาก ทั้งที่ตอนนี้บางอย่างเรายังรู้สึกว่าอาจจะทำไม่ได้ดีเท่าเดิมด้วยซ้ำ
หนูคิดว่า สิ่งที่ช่วยให้หนูผ่านตรงนั้นมาได้คือ “ความรัก” และ “ความชอบ” ในการทำงาน มันเป็นพลังที่ทำให้เราฝ่าฟันเรื่องยากๆ มาได้ และหนูก็ยังรู้สึกดีที่ตอนนี้ยังมีสิ่งนั้นอยู่ในตัว
อยากบอกเด็กคนนั้นว่า “ทำต่อไปนะ ถึงจะเครียดบ้าง แต่ในอนาคตมันจะดีขึ้นแน่นอน” ทุกวันคือการเรียนรู้ และการที่ตอนนั้นเรากัดฟันสู้มาได้ มันกลายเป็นกำแพงที่แข็งแรงในใจเราจนถึงทุกวันนี้
อีกอย่างคือหนูไม่อยากเปลี่ยนหรือแก้ไขอะไรเลย เพราะทุกอย่างที่ทำลงไป หนูทำเต็มที่หมดแล้ว ถึงจะเหนื่อย แต่ผลลัพธ์มันก็คุ้มค่า
Jennis: ถ้าถามว่าหนูอยากบอกอะไรกับตัวเองในอดีตไหม… เอาจริงๆ หนูไม่รู้สึกว่าอยากพูดอะไรเลย
ไม่ใช่ว่าหนูไม่รักตัวเองตอนนั้นนะ แต่เพราะหนูรู้จักตัวเองดีมากๆ มาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว หนูเป็นคนอยู่กับตัวเองเยอะ คิดกับตัวเองเยอะ และรู้ตลอดว่าเราอยากทำอะไร ซึ่งตอนนั้นก็ทำในสิ่งที่รักเหมือนกัน และเชื่อว่าทำมันเต็มที่แล้ว
ทุกอย่างในชีวิตตอนนี้…มันก็เป็นไปตามที่หนูคิดไว้ตั้งแต่ตอนนั้นเลยด้วยซ้ำ หนูรู้ว่าเราอาจจะมีเป้าหมายใหญ่ๆ แต่ในใจก็แอบรู้ว่ามันอาจจะยังไปไม่ถึง แต่ถึงอย่างนั้น หนูก็ไม่เสียดาย เพราะเราคิดและเลือกทุกอย่างด้วยตัวเองมาตลอด
ถ้าสมมุติว่ามี “หนูในอดีต” กับ “หนูในปัจจุบัน” มายืนมองหน้ากัน หนูเชื่อว่าเราสองคนก็คงคิดเหมือนกันว่า “ไม่ต้องพูดอะไรก็เข้าใจ เพราะเราคือคนเดียวกัน” หนูยังรู้สึกว่าเราไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
Kaew: แก้วรู้สึกว่า ตอนอยู่ BNK48 เคยพูดกับตัวเองเลยว่า “เราร้องไห้เยอะทั้งชีวิตรวมกันอีก” คือหนูเสียใจอะไรนักไม่รู้อ่ะ แต่ว่าจําไม่ได้ว่าเรื่องอะไรบ้าง ก็อยากจะบอกตัวเองว่า อย่าเสียใจนานเลย เพราะเรื่องใหม่มันก็จะมาอีกอยู่ดี
ถ้ามองในมุมภายนอกก็คงบอกตัวเองว่า “ดูแลตัวเองให้สวยกว่านี้หน่อย” เพราะพูดตรงๆ เลยว่า หนูรู้สึกว่าตอนนี้ดูดีขึ้นกว่าสมัยนั้น แต่ตอนนั้นดังกว่านี้อีก พอมาย้อนดูรูปเก่าๆ แล้วก็แอบเสียดายว่า “ทำไมตอนนั้น เราไม่สวยกว่านี้นะ?”
อีกอย่างที่อยากบอกคือ อยากให้เก็บความทรงจำช่วงนั้นไว้ให้มากกว่านี้ อาจจะถ่ายรูปเยอะๆ หรือเขียนไดอารีไว้บ้าง เพราะทุกวันนี้จำอะไรแทบไม่ได้เลย มันมีแค่ช่วงเวลางานใหญ่ๆ เท่านั้นที่จำได้ แต่งานเล็กๆ หรือวันธรรมดาที่ใช้ชีวิตกับเพื่อนๆ หนูจำไม่ได้เลย
หนูรู้สึกว่า ชีวิตมันผ่านไปเร็วมากจนเราไม่มีเวลาจะเก็บความทรงจำนั้นไว้เลย เพราะฉะนั้นก็อยากจะจํามันให้ได้มากกว่านี้ เผื่อเอาไว้เล่าให้ลูกหลานฟังค่ะ
Tarwaan: ถ้าได้เจอตัวเองในวันนั้น หนูคงจะบอกว่า “เธอเก่งมากเลยนะ” ตอนนั้นเรายังเป็นวัยรุ่น อายุแค่ 20 เอง แต่ต้องรับผิดชอบอะไรหลายอย่าง ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องที่บ้าน มันเหมือนทุกอย่างถาโถมเข้ามาพร้อมกัน
การได้ผ่านช่วงนั้นมาได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่มันก็ทำให้เราเรียนรู้ เติบโต และเข้าใจชีวิตมากขึ้น ทั้งความสุข ความเสียใจ ความผิดหวัง ทุกอย่างล้วนเป็นบทเรียนสำคัญ
เหมือนที่เพื่อนๆ พูดกันว่า “เสียใจได้…แต่อย่านาน เพราะเรื่องใหม่จะมาอีกเสมอ” บางทีเรื่องที่เคยรู้สึกว่าใหญ่ที่สุดในตอนนั้น พอโตมาแล้วกลับกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย เพราะชีวิตจะมีเรื่องที่ใหญ่กว่านั้นให้เรารับมืออีกมาก
สิ่งหนึ่งที่อยากขอบคุณตัวเองในวันนั้นคือ“ขอบคุณที่ยังมีแพสชันในการร้องเพลง”
เพราะมันทำให้เรายังได้ทำในสิ่งที่รักมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเคยบอกตัวเองเลยว่า การสมัคร BNK48 คือความพยายามครั้งสุดท้ายในการตามความฝันเกี่ยวกับการร้องเพลงแล้ว
แต่สุดท้าย…แพสชันมันพาเราไปไกลกว่าที่คิด และนั่นแหละคือสิ่งที่อยากบอกว่า “เยี่ยมมาก ขอบคุณนะ”
คอนเสิร์ตครั้งนี้…เกิดขึ้นได้อย่างไร? ใครเป็นคนจุดประกาย?
Jane: คอนเสิร์ตครั้งนี้เกิดจากความตั้งใจของทีม HONEYCOMB SHOWBIZ ที่อยากจัดคอนเสิร์ตขึ้นมา แล้วเขาก็มองว่า “8 สาวสวยกลุ่มนี้” ไม่ได้รวมตัวกันง่ายๆ เหมือนเป็นของแรร์เลยค่ะ (หัวเราะ) เขาเลยเลือกพวกเรามาเป็นผู้ถ่ายทอดความพิเศษในครั้งนี้ เพราะพวกเราก็ห่างหายจากเวทีใหญ่ๆ ไปนานเหมือนกัน เลยอยากให้แฟนๆ ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในรอบหลายปี
Kaew: ที่ผ่านมาแก้วมีแค่แฟนมีต หรือไปร้องเพลงตามร้านต่างๆ ที่แฟนๆ จะได้เห็นเราบ้าง แต่ก็ยังไม่มีโชว์ที่เป็นรูปแบบจริงจัง ที่ต้องซ้อมแบบเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนตอนอยู่ในวง
สิ่งนี้เลยอยากให้เป็นเหมือน “ของขวัญ” สำหรับแฟนๆ อยากให้เขาได้เห็นพัฒนาการของเรา ได้เห็นมุมใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะตอนอยู่ในวง BNK48 ก็ไม่ได้มีโอกาสโชว์แบบนี้มากนัก นี่เลยเหมือนเป็นอะไรใหม่ๆ ที่เราอยากมอบให้จริงๆ
อีกอย่างคือ…คิดถึงเพื่อนๆ ค่ะ แค่เพื่อนพูดว่า “เอาเหอะ ทำเถอะ” เราก็พร้อมจะทำเลย เพราะนี่คือเพื่อนที่เราสนิทและสบายใจอยู่แล้ว คิดถึงการได้ทำงานด้วยกัน คิดถึงโมเมนต์พวกนั้น
ส่วนระยะเวลาเริ่มโปรเจกต์นี้ จากที่เพื่อนมาชวน จนตอบตกลง กินเวลาประมาณ 3 เดือนค่ะ
อะไรคือสิ่งที่แฟนๆ ที่กดบัตรมาชม GLOW UP GLAM UP CONCERT จะได้พบเจอแน่ๆ ในโชว์ครั้งนี้?
Tarwaan: ในคอนเสิร์ตนี้ ทุกคนจะได้เห็นหลากหลายมู้ด หลากหลายด้านของพวกเราจริงๆ ค่ะ เพราะเราโตขึ้นแล้ว เราสามารถก้าวออกจากกรอบเดิมที่ต้องน่ารักหรือเป็นไอดอลอย่างเดียว
เราก็จะมีโชว์ที่เซ็กซี่ขึ้น เท่ขึ้น แซ่บขึ้น หรือแบบหวานซ่อนเปรี้ยว ดุดันก็มี มันเหมือนนั่งรถไฟเหาะที่พาแฟนๆ ไปเจอกับอารมณ์และพลังที่แตกต่างจากพวกเราทุกคน
Jennis: สิ่งที่แฟนๆ จะได้เห็นแน่ๆ คือ…โชว์ครั้งนี้ไม่ใช่คอนเสิร์ตที่มีแต่เพลงของ BNK48 แบบที่ทุกคนคุ้นเคย เพราะที่ผ่านมาเราแทบไม่เคยร้องหรือเต้นเพลงอื่นเลยนอกจากเพลงของวง ไม่ว่าจะเป็นเพลงเดี่ยวหรือเพลงกลุ่ม
แต่โชว์ครั้งนี้เราจะได้ทำอะไรใหม่ๆ เป็นเพลงที่ทุกคนไม่เคยเห็นเราทำมาก่อนเลยจริงๆ นั่นแหละคือความพิเศษ มันเป็นภาพใหม่ ที่ไม่ใช่สไตล์เดิมที่เราคุ้นชินกันมาตลอด
Namneung: พูดเลยว่า…ใครไม่ได้ซื้อบัตรดูจะต้องเสียดายแน่นอน! แค่เราซ้อมกันเอง ยังรู้สึกว้าวกันขนาดนั้น ขนาดเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมา 7-8 ปี แต่พอมาเห็นกันตอนนี้ คืออึ้งมาก เซ็ตลิสต์เพลงก็ปังมาก อึ้งตั้งแต่ค่าลิขสิทธิ์เลยค่ะ! (หัวเราะ)
เพราะทุกเพลงคือเพลงดังทั้งนั้น เราเลือกตามใจ เลือกตามคาแรคเตอร์ของแต่ละคนแบบเต็มที่ K-POP ก็มี, T-POP ก็มา, เพลงสากลก็ไม่พลาด
ด้วยคอนเซ็ปต์ GLOW UP GLAM UP ทุกคนจะมาในเวอร์ชัน “แซ่บ” ที่แตกต่างกัน บางคนแซ่บเศร้า บางคนแซ่บหวาน หรือบางคนอาจจะมาทรงบอยแบรนด์ที่หลายคนรอคอย
ยังไม่หมด! แขกรับเชิญก็มีมาเซอร์ไพรส์แน่นอน ทั้งคนที่เคยร่วมงานและคนที่ไม่เคยเลย เห็นแล้วต้องร้องว้าวแน่นอนค่ะ
หลังโชว์จบลง…อยากให้แฟนๆ เดินออกจากคอนเสิร์ตนี้ไปพร้อมกับความรู้สึกแบบไหน?”
Kaew: ไม่อยากให้ใครรู้สึกผิดหวัง หรือเสียดายเงินเลยค่ะ เพราะเข้าใจว่าอาจมีคนสงสัยว่า “คอนเสิร์ตนี้คุ้มมั้ย บัตรราคาขนาดนี้” แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง มันก็จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น
พวกเราทุกคนเต็มที่กับโชว์มากจริงๆ และอยากให้แฟนๆ เข้าใจว่า “อ๋อ เพราะแบบนี้ไง มันถึงคุ้ม” อยากให้เขารู้สึกภูมิใจที่ได้เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เคยเต้นเพลงน่ารักๆ มาหลายปี วันนี้เติบโตขึ้นมาในอีกมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
พูดตรงๆ เลยนะ เมื่อวานตอนดูเพื่อนซ้อม แก้วยังแบบว่า “เห้ย เพื่อนเราเก่งขนาดนี้เลยหรอ?” ทั้งที่เห็นเขามา 6 ปีแล้ว ก็เลยเชื่อว่าทุกคนที่ได้ดูจะต้องภูมิใจในตัวพวกเราจริงๆ
Noey: อยากให้ทุกคนกลับออกไปด้วยความสุขค่ะ เพราะคอนเสิร์ตนี้ไม่ใช่แค่พวกเราทำเต็มที่ ทีมงานทุกคนก็เต็มที่มากๆ เหมือนกัน พวกเราขอเพลงอะไร อยากได้อะไร ทุกคนก็จัดให้ แสง สี เสียง ทุกอย่างถูกออกแบบมาให้เป็นเวทีในฝันของเรา
บางคนอาจห่างจากเวทีมานาน หรือไม่มั่นใจในตัวเองเท่าเดิมแล้ว แต่ก็กลับมาเพราะคิดถึงแฟนๆ อยากให้ทุกคนที่เคยรัก เคยเชียร์เรา ได้เห็นภาพเหล่านั้นอีกครั้ง ได้กลับมาเจอกันในบรรยากาศแบบที่เคยตกหลุมรักกัน
มันเป็นโอกาสที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ทั้งการรวมตัว และโปรดักชันที่จัดเต็มขนาดนี้ ได้โชว์บนเวทีใหญ่นานขนาดนี้ มันคือความฝันของพวกเรา และอยากให้มันเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดของแฟนๆ ด้วยค่ะ
Jennis: งานนี้ของเราคือ โปรดักชันอลังการณ์ตาแตก เลยค่ะ เวทีใหญ่มาก และเราออกแบบทุกอย่างกันเอง ตั้งแต่เซ็ตลิสต์จนถึงภาพในหัวที่อยากทำ ซึ่งก็ได้ทำจริงๆ ในโชว์นี้
เราไม่ได้มีโอกาสจัดบ่อยๆ และครั้งนี้ก็จัดได้แค่รอบเดียวจริงๆ ไม่อยากให้ใครพลาด แล้วมาบอกทีหลังว่า “เสียดายจัง” เพราะเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหมือนกัน
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีแดนเซอร์เยอะขนาดนี้ มีแสง สี เสียงอลังการขนาดนี้ และเราก็ใส่ใจทุกรายละเอียด คิดมาเพื่อให้แฟนๆ ได้สิ่งที่ดีที่สุด
ถ้ายังไม่ซื้อต้องรีบนะ…นี่เตือนแล้วนะ 😀