×

เรืองไกร-ศรีสุวรรณ ร้ององค์กรอิสระ ถอดถอนนายกฯ ปมคลิปเสียง ไม่รักษาอธิปไตยของชาติ ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

โดย THE STANDARD TEAM
19.06.2025
  • LOADING...
pm-clip-national-security

วันนี้ (19 มิถุนายน) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เดินทางมายื่นหนังสือเพื่อขอให้ กกต. ตรวจสอบ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า มีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) หรือไม่ และเข้าข่ายเป็นเหตุให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) หรือไม่ กรณีมีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนากับสมเด็จ ฮุนเซน ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา

 

เรืองไกรกล่าวว่า ที่มายื่นหนังสือวันนี้เพราะเห็นว่าเป็นกรณีเร่งด่วน เนื่องจากตรวจสอบแล้วว่าคลิปเสียง และนายกรัฐมนตรีได้ยอมรับเองว่าเป็นคลิปเสียงการพูดคุยกับสมเด็จ ฮุน เซน จริง ถือเป็นหลักฐานสำคัญ ที่ทำให้ต้องมายื่นร้องต่อ กกต. ว่าพฤติกรรมดังกล่าว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) ระบุว่า เหตุความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เนื่องจากความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ โดยศาลรัฐธรรมนูญได้วางแนววินิจฉัยไว้ เหมือนกรณีคดีของ เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งสามารถยึดเป็นแนวบรรทัดฐานได้

 

“ในคลิปเสียงท่านนายกรัฐมนตรีก็ยอมรับแล้ว มีการพูดถึงเจ้าหน้าที่ของเรา มีการเอ่ยชื่อ ตำแหน่งด้วย ในลักษณะว่าไม่ใช่พวกเรา ทำให้สังคมตั้งคำถามตรงนี้ ว่าตกลงท่านนายกรัฐมนตรีของเราเป็นพวกกับใคร เป็นพวกทหารของเรา หรือพวกกับเพื่อนบ้าน แล้วคำขอให้เปิดชายแดน เปิดด่านกันเลยนั้น ก็คงต้องรอฟังจากฝ่ายความมั่นคง นายกรัฐมนตรีคงไม่มีหน้าที่จะไปดู ไปรับปากตรงนั้น ซึ่งคำต่างๆ ที่สื่อถอดออกมาก็เป็นตัวอย่างที่ผมนำมาให้ กกต. ดูว่า ในนี้กรณีนี้จะเข้าข่ายว่านายกรัฐมนตรีไปทำการที่ไม่ซื่อสัตย์ สุจริต ทำให้เสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งและเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามมาตรฐานจริยธรรมหรือไม่” เรืองไกรกล่าว

 

เรืองไกร กล่าวต่อว่า นี่ยังไม่ได้พูดถึงการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรงที่จะเป็นดุลพินิจของกกต. หรือจะมีการส่งต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญาเรื่องความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร กับความมั่นคงที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร เช่น มาตรา 116 และมาตรา 119 ซึ่งไม่ใช่หน้าที่และอำนาจของกกต. ซึ่งอาจจะมีการรวบรวมพยานหลักฐาน หรือหากมีพรรคการเมือง หรือสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เข้าชื่อยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือกลุ่มบุคคลที่จะยื่น ก็ถือเป็นสิทธิ ซึ่งนายกฯ ก็จะต้องเหนื่อยหน่อย

 

“ท่านเองก็บอกเองว่า เรื่องนี้ทำให้ลำบากที่สุดตั้งแต่ที่เป็นนายกรัฐมนตรีมา ท่านก็ต้องมาชี้แจง แต่ข้อเท็จจริงแทบจะไม่ต้องหายากอะไร มีเยอะมาก โดยเอกสารหลักฐานต่างๆ ผมจะส่งตามมาเพิ่มเติม” เรืองไกรกล่าว

 

ส่วนที่ปัจจุบันมีการเรียกร้องให้ยุบสภา หรือลาออก คิดว่านายกรัฐมนตรีควรเลือกทางไหน เรืองไกรกล่าวว่า การที่ท่านขึ้นมานั้น คะแนนหลายๆ เรื่องไม่ผ่าน อภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ท่านได้เพราะเสียงเกิน ก็อยู่ได้ แต่สิ่งที่สังคมและประชาชนรับรู้ คือความรู้ความสามารถของนายกรัฐมนตรีเองนั้น ท่านควรจะพิจารณาตัวเอง อยู่ตรงนี้รังแต่จะก่อให้เกิดความรู้สึกลำบากใจตัวเองหรือไม่ อยู่ที่ว่าท่านจะไปไหวไหม เพราะหลายพรรคการเมือง รวมถึงประชาชนก็เรียกร้องความรับผิดชอบ อย่างภูมิใจไทยก็แสดงจุดยืนและลาออกไปแล้ว แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว ส่วนพรรคพลังประชารัฐ ก็มีจุดยืนของหัวหน้าพรรคไปแล้ว เรื่องที่มีคนถูกดึงไป แต่จะมี สส. คนไหนปันใจหรือไม่ ก็ไม่ทราบ

 

“ดังนั้นนายกรัฐมนตรีมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง ไม่ยุบสภาก็ลาออกแล้วให้คนใหม่ที่เหมาะสมกว่ามาทำหน้าที่ เพราะเรายังมีบัญชีนายกรัฐมนตรีอยู่ เพื่อไทยยังมี ชัยเกษม นิติสิริ อยู่ในบัญชี ขณะที่ อายุสภาก็ยังเหลืออยู่ แต่ถ้าท่านมั่นใจว่าจะให้ประชาชนตัดสินท่านก็ต้องยุบ ถ้าคิดว่าไปไม่ไหว แล้วสภายังไม่มีความเห็นอะไรท่านก็ลาออก” เรืองไกรกล่าว

 

สำหรับขณะนี้กระแสสังคมมีการพูดถึงการปฏิวัตินั้น เรืองไกรกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในครรลองประชาธิปไตย แต่ถ้าความรู้สึก การประเมินตัวเองของนายกรัฐมนตรี และมีเสียงสะท้อนแบบนี้ ท่านก็ควรจะรับรู้ว่า ควรจะพิจารณาตัวเอง ดีที่สุด แต่ถ้ารอจนเป็นคดีความต่างๆ ท่านอายุยังน้อย ลูกยังเล็ก เพราะความมั่นคงเป็นเรื่องใหญ่มาก

 

ศรีสุวรรณร้อง ป.ป.ช. กล่าวหาไม่พิทักษ์อธิปไตย

 

ในวันเดียวกัน ที่สำนักงานใหญ่ ป.ป.ช. ศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.เพื่อขอให้ไต่สวนและมีความเห็นกล่าวหา แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ กรณีคลิปสนทนากับ นายฮุนเซน ซึ่งเป็นศัตรูของชาติ ถือเป็นการทำลายเกียรติยศ ศักดิ์ศรี เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในแผ่นดิน

 

ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากมีการเผยแพร่คลิปการสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและสมเด็จ ฮุน เซน พฤติการณ์ในแต่ละถ้อยคำที่สนทนากับนายฮุนเซนสะท้อนให้เห็นว่า นายกรัฐมนตรีคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ทางการเมืองเพื่อตนเองเป็นที่ตั้ง นำความลับในการบริหารราชการแผ่นดินไปเอื้อประโยชน์ให้กับศัตรูของชาติ อันถือได้ว่าเป็นปรปักษ์ต่อแผ่นดิน อันอาจทำให้อำนาจอธิปไตยของชาติเสื่อมเสียไปได้ อันเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119 มาตรา 120 ประกอบมาตรา 128 อันเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักรโดยชัดแจ้ง

 

นอกจากนี้ ยังอาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 219 ให้ใช้บังคับไว้ในหลายๆ ข้อ เช่น ข้อ 6 ข้อ 7 ข้อ 8 ข้อ 11 ข้อ 17 ข้อ 19 และข้อ 26 ประกอบข้อ 27 อันเกี่ยวกับการไม่ พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ การไม่ถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน ไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตนเอง หรือผู้อื่น หรือมีพฤติการณ์ที่รู้เห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ไม่กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม กระทำการอันก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง เป็นต้น

 

ด้วยเหตุดังกล่าว องค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน จึงจำต้องนำความมาร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.เพื่อให้ใช้อำนาจตามกฎหมายในการไต่สวนและมีความเห็นเพื่อนำไปสู่การเอาผิดนายกรัฐมนตรีที่มีพฤติการณ์ในการใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามครรลองของกฎหมายต่อไป

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising