เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ Fox News โดยกล่าวว่า ปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลต่ออิหร่าน “มีโอกาสอย่างยิ่ง” ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง เนื่องจากเขาเชื่อว่า “รัฐบาลในอิหร่านอ่อนแอมาก” และอ้างว่า “80% ของประชาชนจะโค่นล้มกลุ่มคลั่งศาสนาเหล่านี้ถ้ามีโอกาส”
เนทันยาฮูยังกล่าวอีกว่า “พวกเขายิงผู้หญิงเพียงเพราะเปิดผม ยิงนักศึกษา และทำลายชีวิตของผู้คนที่กล้าหาญและเปี่ยมศักยภาพเหล่านี้ ชาวอิหร่านจะต้องเป็นคนตัดสินใจลุกขึ้นสู้ด้วยตนเอง”
คำกล่าวของเนทันยาฮูเกิดขึ้นท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากบางฝ่ายในรัฐสภาสหรัฐฯ และนักเคลื่อนไหวชาวอิหร่านในต่างประเทศ ที่เชื่อว่าช่วงเวลานี้เหมาะสมที่จะผลักดันให้เกิดการล้มล้างระบอบนักบวชในอิหร่าน ซึ่งมี อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี เป็นผู้นำสูงสุด
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านอิหร่านหลายคนเตือนว่า เนทันยาฮูอาจกำลังประเมินอารมณ์ของประชาชนอิหร่านผิดไป เพราะแท้จริงแล้ว การโจมตีของอิสราเอลอาจยิ่งกระตุ้นให้เกิดความโกรธแค้นต่ออิสราเอล และทำให้ประชาชนในอิหร่านหันมารวมตัวกันต่อต้านภัยภายนอก แทนที่จะลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลของตน
อาราช อาซิซี ผู้เชี่ยวชาญด้านอิหร่านจากนิวยอร์ก และผู้เขียนหนังสือ What Iranians Want ระบุว่า “นักเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพในอิหร่านรู้ดีว่า พวกเขาไม่ได้มีคุณค่าเพราะคนอย่างเนทันยาฮู” และย้ำว่ารัฐบาลฝ่ายขวาของอิสราเอล “ไม่ได้มีค่านิยมที่สอดคล้องกับพวกเขาเลย”
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อิหร่านเผชิญกับการประท้วงทั่วประเทศหลายครั้ง โดยเฉพาะในปี 2022 และ 2023 หลังการเสียชีวิตของมาห์ซา อามินี หญิงสาววัย 22 ปีที่ถูกตำรวจศีลธรรมควบคุมตัวในข้อหาไม่สวมฮิญาบอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิหร่านได้ตอบโต้ด้วยการปราบปรามผู้ประท้วงอย่างรุนแรง มีทั้งการจับกุม ดำเนินคดี และการประหารชีวิตเพิ่มขึ้น ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน
แม้จะมีความไม่พอใจอย่างกว้างขวางในหมู่ชาวอิหร่าน แต่ผู้เชี่ยวชาญและประชาชนที่กำลังเผชิญกับการโจมตีในประเทศ ย้ำว่าพวกเขาไม่ได้มองเนทันยาฮูหรือรัฐบาลอิสราเอลว่าเป็นทางออกของปัญหาภายในประเทศตนเองแต่อย่างใด
ภาพ: Ronen Zvulun / Pool / File Photo / Reuters
อ้างอิง: