×

โคตรเซียนหัวใจเหล็ก โจวเหวินฟะ กับเส้นชัยสุดท้ายของชีวิต

18.05.2025
  • LOADING...

ที่เส้นชัยของการแข่งขันวิ่งฮ่องกงฮาล์ฟมาราธอน ณ อ่าววิกตอเรีย สายลมโชยให้รู้สึกเย็นนิดหน่อย

 

“พี่ใหญ่ครับ พวกเราขอถ่ายรูปหน่อยได้ไหม” เสียงของใครสักคนดังขึ้น และหลังจากนั้นทุกคนก็ทยอยกันเข้ามาถ่ายรูปกับชายสูงวัยที่ดูอ่อนกว่าวัยคนนี้อย่างมากมาย

 

“พี่ใหญ่” คนนี้มิได้เป็นคนธรรมดา ช่วงชีวิตของเขาผ่านเรื่องราวมากมาย ตั้งแต่บทบาทของจอมยุทธ์ผู้ขออยู่เหนือความขัดแย้งของยุทธภพ มือปืนผู้ไร้เทียมทาน และชายผู้ยึดมั่นในความรัก

 

แต่บทบาทที่ผู้คนจดจำเขาได้มากที่สุดคือบทบาทของโคตรเซียนนักพนันผู้เก่งกาจที่สุดระดับตำนานแต่โชคชะตาเล่นตลกตกอับ แต่สุดท้ายด้วยความช่วยเหลือจากจิ๊กโก๋ข้างถนนทำให้กลับมายืนหยัดได้อย่างสง่างามอีกครั้ง

 

“เกาจิ้ง” ผู้หล่อเหลาเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว วันนี้ก็ยังหล่ออยู่เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือสุขภาพที่ดูแข็งแรง และนั่นคือเรื่องที่ผู้คนชาวฮ่องกงยินดีที่สุดแล้ว

 

เพราะทุกคนรักพี่ใหญ่คนนี้ที่สุดดังยอดดวงใจ

 

วันนี้ฟาเกอ โจวเหวินฟะ จะอายุครบรอบ 70 ปี เขากำลังสนุกกับบทบาทใหม่ในชีวิต กับเส้นชัยสุดท้ายที่ต้องการจะไปให้ถึง

 

 

ถึงแม้จะมีสถานะเป็นดารานักแสดงระดับตำนานที่ผู้คนทั้งเกาะฮ่องกงยอมรับนับถือในฐานะ “พี่ใหญ่” แต่โจวเหวินฟะไม่เคยวางตัวสูงส่งเหนือใคร

 

การได้พบกับฟาเกอตามร้านอาหารบ้านๆ ริมทางถือเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกันกับการได้พบเขาบนรถโดยสารสาธารณะ จะรถเมล์ รถไฟใต้ดิน หรือแม้แต่การนั่งเล่นผ่อนคลายบนม้านั่งในสวนที่ไหนสักแห่ง

 

ดูไม่เหมือนกับนักแสดงซูเปอร์สตาร์ผู้มีทรัพย์สินกินทั้งชีวิตก็ไม่หมด และยังบริจาคทรัพย์สินเหล่านั้นให้แก่การกุศลด้วย และใช้ชีวิตอย่างสมถะ

 

ยิ่งสูงส่งยิ่งทำตัวให้ต่ำ

 

และยิ่งทำตัวต่ำก็ยิ่งสูงส่งทางหัวใจ

 

สิ่งเหล่านี้ทำให้ชาวฮ่องกงและแฟนๆ ทั่วโลกรักโจวเหวินฟะ และมากกว่ารักคือการเคารพพี่ผู้วางตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ทุกคน

 

เรื่องราวน้ำใจของฟาเกอมากมายและกว้างใหญ่เท่าอ่าววิกตอเรีย ให้เล่าใหม่สักกี่ครั้งก็ทำให้หัวใจสั่นไหวเสมอ

 

ว่าแล้วขอยกกรณีตัวอย่างสักเรื่อง ที่ได้ฟังต่อจาก “ท่านเก้า” ในเพจเก้ากระบี่เดียวดายที่ยังตรึงใจไม่รู้ลืมคือเรื่องมิตรภาพระหว่างโจวเหวินฟะกับอู๋ม่งต๊ะ หรืออาฟ่งแห่งภาพยนตร์ระดับตำนานนักเตะเสี้ยวลิ้มยี่ ผู้ล่วงลับดับสูญ

 

ทั้งสองนั้นเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน ผ่านการใช้จ่ายวันเวลาของความยากลำบากมาด้วยกันในช่วงของการเป็นนักเรียนการแสดง อู๋ม่งต๊ะเป็นคนพูดเก่ง โจวเหวินฟะเป็นคนฟังเก่ง นั่นทำให้ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ของทั้งสองเข้ากันได้อย่างดี

 

ในช่วงเวลาของการไต่เต้าจากดินสู่ดาว อู๋ม่งต๊ะเช่าบ้านไว้ใกล้กับสตูดิโอของสถานีโทรทัศน์ทีวีบี โจวเหวินฟะที่อ่อนล้าจากทั้งงานแสดงและการเรียนบ่อยครั้งจะมาใช้บ้านหลังนี้พักพิงอิงกายให้คลายความเหนื่อยก่อนจะลุกขึ้นสู้ชีวิตกันต่อไป

 

ยามยากนั้น เงินแค่ 5 เหรียญที่พอแค่เพียงการซื้อข้าวหน้าหมูย่างชามเดียว ทั้งสองก็แบ่งปันกันคนละครึ่ง ท้องอาจจะไม่ค่อยอิ่มนักแต่อิ่มน้ำใจของเพื่อนรัก

 

แต่แล้วโชคชะตากลับสวนทางเมื่อโจวเหวินฟะก้าวจากการเป็นนักแสดงตัวประกอบสู่การเป็นดาราเบอร์หนึ่งของฮ่องกง 

 

ตรงข้ามกับอู๋ม่งต๊ะที่ตกต่ำเพราะทำตัวเองจากนิสัยชอบเมามายและติดการพนัน งานเริ่มหด เงินเริ่มหาย สุดท้ายมีหนี้สินจำนวนมากมายถึง 300,000 เหรียญ หากไม่ชำระหนี้จะต้องกลายเป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งเป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับชายหนุ่มที่อายุเพียง 27 ปี ที่เรียกว่าชีวิตเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

 

คนแรกที่เขาคิดถึงคือเพื่อนที่อยู่ด้วยกันในยามยากอย่างโจวเหวินฟะ ด้วยคิดว่าเงินแค่นี้สำหรับดาราใหญ่แล้วเป็นแค่เงินทอน

 

แต่เพื่อนรักกลับตอบรับคำขอด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “นายต้องเลือกเอง”

 

อู๋ม่งต๊ะคิดน้อยใจเพื่อน ไหนเล่าที่เราเคยกินนอนด้วยกัน ไหนเล่าข้าวหมูย่างชามนั้นที่เราเคยแบ่งกันได้ วันนี้เพื่อนลำบากแต่ทำไมไม่มีน้ำใจช่วยเหลือกันสักนิด ดาราประกอบเจ้าบทบาทหัวใจน้อยคิดถึงขั้นจะลาโลกนี้ไปให้รู้แล้วรู้รอด

 

อู๋ม่งต๊ะ (ซ้าย) ผู้ได้รับน้ำใจอย่างเงียบๆ จากโจวเหวินฟะให้กลับมายืนหยัดอีกครั้ง ในภาพยนตร์ระดับตำนาน ”ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ“ ที่แสดงร่วมกับหลิวเต๋อหัว ซึ่งก็เป็นน้องอีกคนที่ ”พี่ใหญ่“ แนะนำสอนสั่ง

 

แต่สุดท้ายเมื่อทบทวนเรื่องราวดีๆ แล้วจึงได้สติ ตลอดมาที่เขาใช้จ่ายชีวิตอย่างบ้าคลั่ง โจวเหวินฟะซึ่งมีบทเรียนจากชีวิตจริงของครอบครัวที่ยากลำบากเพราะนิสัยติดเหล้าและการพนันของพ่อได้พยายามตักเตือนสติเขามาตลอดแต่เขาเองกลับไม่เคยฟัง 

 

เช่นนั้นอู่ม่งต๊ะจึงเลือกยอมรับกรรมในสิ่งที่กระทำ เขาถูกฟ้องร้องล้มละลาย ต้องอับอายในสังคม โดยที่แม้จะเข้าใจแต่ก็ยังแอบน้อยใจเพื่อนรักคนนี้ไม่น้อย โจวเหวินฟะยังเป็นคนที่เขาเกลียดที่สุด

 

จนกระทั่งวันเวลาผ่าน เขาค่อยๆ ได้โอกาสในการกลับมาแสดงมากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มมีโอกาสได้กลับมาแสดงในเรื่องเดียวกับโจวเหวินฟะที่กลายเป็นเมกะสตาร์ของฮ่องกงในเวลานั้น ซึ่งด้วยฝีไม้ลายมือในการแสดงที่ไว้ใจได้เสมอทำให้อู๋ม่งต๊ะค่อยๆ กอบกู้ตัวเองกลับมา

 

โอกาสใหญ่เกิดขึ้นในปี 1990 อู๋ม่งต๊ะได้รับเรียกให้มาร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ” ที่หลิวเต๋อหัวนำแสดง การแสดงนั้นยอดเยี่ยมจนทำให้เขาได้รับรางวัลนักแสดงสมทบยอดเยี่ยม ซึ่งเขาอยากขอบคุณผู้กำกับอย่างตู้ฉีฟงที่ให้โอกาส

 

แต่ตู้ฉีฟงกลับไม่รับคำขอบคุณ และบอกว่า “ไปขอบคุณโจวเหวินฟะเถอะ”

 

ก่อนที่ความจริงจะถูกเฉลยว่าทุกโอกาสใหม่ในชีวิตของอู๋ม่งต๊ะมีโจวเหวินฟะอยู่เบื้องหลังในการพยายามโน้มน้าวให้ผู้กำกับภาพยนตร์เรียกตัวเขามาทดสอบบทการแสดงทุกครั้ง ต่อให้อู๋ม่งต๊ะจะคิดน้อยใจและไม่อยากญาติดีกับเพื่อนเก่าคนนี้สักเท่าไรก็ตาม แต่เขากลับได้รับน้ำใจและไมตรีจากมิตรภาพนี้โดยที่เขาไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำไป

 

โจวเหวินฟะไม่เพียงแค่ดึงเพื่อนกลับจากเส้นทางที่ผิดให้กลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้อง แต่ยังเปิดประตูบานใหม่ให้อย่างเงียบๆ โดยไม่คิดเอ่ยปากหรือแสดงตัวใดๆ

 

นี่เป็นเพียงหนึ่งในเรื่องราวของพี่ใหญ่ผู้มากน้ำใจ

 

ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ผู้คนเล่าขาน

 

 

ความจริงทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของโจวเหวินฟะ เขาน่าจะพักผ่อนสบายๆ ได้แล้ว แต่ในวัยโรยราใครจะคิดว่าโจวเหวินฟะยังลุกขึ้นมาจุดไฟให้กับตัวเองและคนอีกมากมายอีกครั้ง

 

ภาพของฟาเกอในงานวิ่งใหญ่ของชาวฮ่องกงอย่างสแตนดาร์ด ชาเตอร์ ฮ่องกง มาราธอน ในช่วงต้นปี 2024 สร้างความฮือฮาอย่างมาก เพราะไม่มีใครคิดว่าอดีตนักแสดงวัย 68 ปีในเวลานั้นจะร่วมลงแข่งขันวิ่งเป็นระยะทาง 21.5 กิโลเมตรกับเขาด้วย

 

ซ้ำยังทำเวลาได้ดีกว่าคนหนุ่มสาวบางคนเสียอีกด้วยการเข้าเส้นชัยในเวลา 2 ชั่วโมง 27 นาที

 

ถึงอย่างนั้นเขายังพูดติดตลกในวันนั้นว่า “สงสัยกลับบ้านจะโดนภรรเมียหักเงินค่าขนม เพราะเข้าเส้นชัยช้ากว่าเวลาที่เคยตั้งเป้าหมายเอาไว้ 4 นาที”

 

ในถ้อยคำชวนยิ้มนั้น หากเราอ่านข้อความที่ซ่อนอยู่ระหว่างคำให้ดีจะเห็นคำว่า “เป้าหมาย” 

 

ชายวัย 68 ปีไม่ได้ลงแข่งขันเพียงเพื่อหวังเข้าร่วมอย่างเดียว แต่มีการกำหนดเป้าหมายเป็นความท้าทายและสร้างแรงจูงใจในชีวิตให้กับตัวเองด้วย 

 

แม้ว่าแรกสุดแล้วเป้าหมายคือการทำให้ตัวเองกลับมาแข็งแรงก็ตาม

 

ตามประสาคนเริ่มเฒ่า ฟาเกอเองก็มีปัญหาสุขภาพเหมือนกับคนสูงวัยมากมาย โดยเฉพาะอาการปวดหลังที่แสนทรมาน ซึ่งมันก็มาจากการที่ร่างกายเริ่มอ้วนฉุน้ำหนักตัวขึ้นไปถึง 80 กิโลกรัม 

 

 

ฟาเกอมองตัวเองในกระจกเงาโดยที่ไม่ได้ร้องเพลง “Mirror Mirror” แต่บอกกับตัวเองว่าเห็นทีจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปไม่ได้แล้ว

 

โชคดีที่ตัวเขาเองมีรุ่นน้องอย่างกัวฟู่เฉิงซึ่งรักการเล่นกีฬาและดูแลสุขภาพเป็นประจำ ทำให้แม้จะอายุอ่อนกว่าฟาเกอ 10 ปีแต่ร่างกายของอดีตดารานำชั้นนำของฮ่องกงยังแข็งแรงดูอ่อนเยาว์กว่าวัยมาก และนั่นคือแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้พี่ใหญ่ตัดสินใจ

 

“ออกวิ่งเถอะ”

 

พี่ใหญ่ค่อยๆ เริ่มต้นวิ่ง สู่การเสพติดการวิ่งทุกวัน วันละ 10 กิโลซึ่งจะใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งภายในระยะเวลา 10 เดือนสุขภาพของเขาดีขึ้นอย่างมาก ร่างกายผอมลงอย่างชัดเจนเพราะน้ำหนักหายไป 13 กิโลกรัม ซึ่งนอกจากการวิ่งก็ยังควบคุมเรื่องของอาหารด้วยการลดแป้งและน้ำตาลลง

 

จนเมื่อคิดว่าพร้อมพี่ใหญ่ก็ลงสมัครร่วมแข่งวิ่งอย่างเงียบๆ เริ่มจากรายการระดับมินิมาราธอน 10 กิโลเมตรก่อน ก่อนจะขยับมาเป็นระยะฮาล์ฟมาราธอน และกลายเป็นขาประจำที่ร่วมลงแข่งขันงานวิ่งทุกโอกาสที่มี

 

ต้นปีที่ผ่านมาโจวเหวินฟะในวัย 69 ปีทำเวลาในรายการสแตนดาร์ด ชาเตอร์ ฮ่องกง มาราธอน ได้ 2 ชั่วโมง 24.33 นาที โดยมีภรรยา จัสมิน ตัน ที่มามอบเหรียญผู้เข้าเส้นชัยให้สามีที่เธอภาคภูมิใจ

 

เช่นเดียวกับแฟนๆ ที่ภูมิใจและดีใจที่ได้เห็นพี่ใหญ่แข็งแรงแบบนี้

 

มันทำให้ทุกคนเองก็อยากแข็งแรงตามไปด้วย

 

“เป้าหมาย” จากปากของพี่ใหญ่ที่เคยบอกครั้งหนึ่งคือการขยับไปวิ่งมาราธอนให้ได้ก่อนอายุ 90 

 

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะต้องรีบร้อนเพื่อเข้าเส้นชัย

 

“ผมไม่รีบร้อนที่จะวิ่งฟูลมาราธอน ถ้าผมวิ่งได้ฮาล์ฟมาราธอนได้ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงตอนอายุ 80 ผมก็พอใจแล้ว”

 

ได้ยินแบบนี้แล้ว พี่ใหญ่ครับ พี่จะรู้ไหมว่าความจริงพี่เข้าเส้นชัยของชีวิตมาตั้งนานแล้ว

 

ว่าแต่วันนี้พี่ใหญ่อายุครบ 70 แล้ว สุขสันต์วันเกิดนะครับพี่ ขอให้พี่แข็งแรงแบบนี้ตลอดไป 🙂 

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising