×

‘งบมหาศาล การศึกษาตกต่ำ’ ทรัมป์ สั่งยุบ กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ ทำได้จริงหรือ?

21.03.2025
  • LOADING...
ทรัมป์ และ กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ

“เราจะปิดกระทรวงโดยเร็วที่สุด มันไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรกับเราเลย สหรัฐฯ ใช้จ่ายเงินด้านการศึกษามากกว่าประเทศอื่นๆ อย่างมาก และใช้จ่ายสำหรับนักเรียนต่อคนมากกว่าประเทศอื่นๆ อย่างมากเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังอยู่ในอันดับท้ายๆ ของรายชื่อในแง่ของความสำเร็จ”

 

คำกล่าวของทรัมป์ ก่อนพิธีลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อยุบกระทรวงศึกษาธิการ ท่ามกลางเด็กนักเรียนที่รายล้อมในห้องปีกตะวันออกของทำเนียบขาว สร้างความตกตะลึงไปทั่วสหรัฐฯ และทำให้หลายประเทศทั่วโลกประหลาดใจว่าทำไม มหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก จึงตัดสินใจยุบกระทรวงที่ทำหน้าที่กำกับดูแลด้านการศึกษา ที่เป็นเหมือนหัวใจสำคัญในการพัฒนาอนาคตของชาติ

 

“ผมจะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อเริ่มยุบกระทรวงศึกษาธิการของรัฐบาลกลางให้สิ้นซาก ฟังดูแปลกใช่ไหม กระทรวงศึกษาธิการ เราจะยุบมัน และทุกคนรู้ดีว่ามันถูกต้อง และพรรคเดโมแครตก็รู้ดีว่ามันถูกต้อง”

 

การดำเนินการของทรัมป์ เป็นไปตามคำสัญญาที่เขาให้ไว้ระหว่างหาเสียงต่อกลุ่มผู้สนับสนุนฝ่ายอนุรักษ์นิยม

 

โดยหลังจากนี้ การกำหนดนโยบายด้านการศึกษาของสหรัฐฯ เกือบทั้งหมด จะกลับไปอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแต่ละรัฐและคณะกรรมการท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่สร้างความกังวลแก่กลุ่มสนับสนุนเสรีภาพทางการศึกษา

 

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการของทรัมป์ครั้งนี้ ยังเป็นเพียง ‘การลดขนาดของกระทรวง’ ไม่ใช่ ‘การปิดกระทรวงโดยสมบูรณ์’

 

แต่สิ่งที่หลายคนสงสัยคือ ทรัมป์มีอำนาจเพียงพอหรือไม่ที่จะสั่งยุบกระทรวง และจะเกิดอะไรขึ้นกับอนาคตการศึกษาของชาวอเมริกันต่อจากนี้?

 

ลงทุนสูง คะแนนสอบต่ำ?

 

ที่ผ่านมา ทรัมป์ ยืนยันมาตลอดว่ากระทรวงศึกษาธิการนั้นเป็นผู้รับผิดชอบหลักต่อการที่โรงเรียนต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ ไม่ประสบความสำเร็จด้านการศึกษา แม้ผู้เชี่ยวชาญจะชี้ว่า คำกล่าวอ้างดังกล่าวอาจเป็นการเข้าใจผิด

 

“ เราไม่ได้ทำได้ดีในโลกของการศึกษาในประเทศนี้ และเราก็ไม่ได้ทำได้ดีมานานแล้ว” ทรัมป์กล่าวก่อนลงนาม

 

เขามองว่าคะแนนทดสอบด้านการศึกษาของเด็กนักเรียนอเมริกัน อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับการลงทุนต่อนักเรียนที่ค่อนข้างสูง ซึ่งอาจเป็นข้อเท็จจริงบางส่วน โดยคะแนนการทดสอบมาตรฐานการศึกษาระดับโลก พบว่าสหรัฐฯ ตามหลังหลายประเทศ แต่ก็ไม่ได้แย่ถึงขั้นรั้งท้าย

 

โครงการประเมินนักเรียนต่างชาติ (Program for International Student Assessment : PISA) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดมาตรฐานการศึกษาระดับสากล พบว่านักเรียนอเมริกันมีคะแนนสอบอยู่ในระดับปานกลาง โดยอยู่เหนือประเทศอย่างเม็กซิโกและบราซิล แต่ต่ำกว่าประเทศอย่างสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และแคนาดา

 

คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนอเมริกันลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2018 จนถึงปี 2022 ซึ่ง PISA ระบุว่าเป็นผลจากช่วงการระบาดของโควิด-19 แต่ความสำเร็จทางด้านการอ่านและวิทยาศาสตร์ยังคงเท่าเดิม

 

ทรัมป์ ยืนยันว่า ภายใต้ระบบใหม่ที่ ‘ไม่มีกระทรวงศึกษาธิการ’ โรงเรียนในรัฐต่างๆ จะสามารถแข่งขันกับนานาประเทศในยุโรปและจีนได้

 

“ผมเชื่อจริงๆ ว่าพวกเขาจะเก่งพอๆ กับเด็กนักเรียนประเทศอื่นๆ” เขากล่าว

 

ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ให้ความเห็นต่อระบบการศึกษาของสหรัฐฯ โดยชี้ว่า การศึกษาที่เป็นโรงเรียนรัฐของ สหรัฐฯดี แต่การศึกษาของภาคเอกชนนั้นน่าจะดีกว่า อีกทั้งในสังคมอเมริกันมีคนหลากหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นผู้อพยพ อาจมีส่วนทำให้ระบบการศึกษาของสหรัฐฯ ขับเคลื่อนได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ยังไม่นับรวมปัญหายาเสพติด และปัญหาอาชญากรรมอื่นๆ

 

เขามองว่า ในช่วงที่ผ่านมา สหรัฐฯ มุ่งเน้นไปที่การแข่งขันมากกว่าที่จะพัฒนาคนอย่างจริงจัง ในขณะที่หากเทียบกับคู่แข่งอย่างจีน จะมองเรื่องการศึกษา เข้ามาเป็นกลไกของการเปลี่ยนแปลงประเทศ โดยส่งคนออกไปศึกษาต่อต่างประเทศ เอาวิทยาการจากทั่วโลกมา และบรรจุคน เข้าไปในกระบวนการและกลไกสำคัญต่างๆ ของรัฐ

 

“จีนพัฒนาคนของเค้าเต็มที่ โดยเฉพาะ องค์ความรู้ งานวิจัย ตัวนวัตกรรม  คุณภาพคนในจีนจึงดีขึ้น ประเทศอื่นๆ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลี ใช้เรื่องการศึกษากับเทคโนโลยีกับตัวนวัตกรรมเป็นพื้นฐานเช่นเดียวกัน” เขากล่าว

 

ทรัมป์มีอำนาจยุบกระทรวงหรือไม่?

 

แม้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะมีอำนาจพิเศษอย่าง ‘คำสั่งฝ่ายบริหาร’ (Executive Order) อยู่ในมือ แต่ทรัมป์ก็ไม่สามารถสั่งปิดกระทรวงศึกษาธิการได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

 

ที่ผ่านมา ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ยังไม่มีประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใด พยายามปิดหน่วยงานระดับคณะรัฐมนตรี (Cabinet-level) โดยการปิดหน่วยงานทั้งหมดจะต้องผ่านกระบวนการเสนอกฎหมายและมีการโหวตรับรองในสภาคองเกรส

 

ทรัมป์ และทีมเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารรับรู้เรื่องนี้ โดยยอมรับว่าพวกเขาไม่มีคะแนนเสียงเพียงพอที่จะยุบหน่วยงานดังกล่าวด้วยวิธีนี้ เพราะต้องใช้คะแนนเสียงจากวุฒิสมาชิกขั้นต่ำ 60 ที่นั่ง จากทั้งหมด 100 ที่นั่ง แต่พรรครีพับลิกันมีวุฒิสมาชิกเพียง 53 ที่นั่ง

 

อย่างไรก็ตามคำสั่งที่ทรัมป์ลงนาม เป็นคำสั่งให้ ลินดา แม็กมาฮอน (Linda McMahon) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่ทรัมป์เพิ่งแต่งตั้งเข้ามา “ดำเนินการตามที่จำเป็นทั้งหมด เพื่ออำนวยความสะดวกในการปิดกระทรวงศึกษาธิการ และคืนอำนาจด้านการศึกษาให้กับรัฐต่างๆ”

 

แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้อาจไม่ง่าย และท้ายที่สุดอาจจบลงที่การพิจารณาของศาลสูง เนื่องจากผู้สนับสนุนด้านการศึกษาหลายคนเตรียมที่จะยื่นฟ้องเพื่อคัดค้านความพยายามของทรัมป์ ขณะที่สหภาพครู เช่น สหพันธ์ครูอเมริกัน (AFT) กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ทางกฎหมาย

 

“ในขณะที่ผู้ว่าการรัฐจากพรรครีพับลิกันในทำเนียบขาวกำลังเฉลิมฉลองการยกเลิกบทบาทของรัฐบาลกลางในด้านการศึกษา สมาชิกของเราทั่วประเทศต่างก็กังวลว่า การยกเลิกดังกล่าวจะมีผลกระทบกับนักเรียนของพวกเขา” แรนดี ไวน์การ์เทน ประธาน AFT กล่าวในแถลงการณ์ พร้อมทั้งชี้ว่า

 

“นี่ไม่ใช่ประสิทธิภาพ แต่เป็นการตัดอวัยวะทิ้ง”

 

ท่าทีของทรัมป์มีขึ้นหลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทางกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ ประกาศจะเลิกจ้างเจ้าหน้าที่เกือบครึ่งหนึ่ง โดยถือเป็นหนึ่งในความพยายามล่าสุดเพื่อปรับโครงสร้างรัฐบาลสหรัฐฯ

 

ขณะที่พรรคเดโมแครตและผู้สนับสนุนการศึกษาประณามการสั่งยุบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าไม่เพียงแต่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการใช้อำนาจเกินขอบเขตของประธานาธิบดี แต่ยังเป็นความพยายามที่จะทำร้ายนักเรียนอเมริกันนับล้านทั่วประเทศ

 

โดย ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภาจากพรรคเดโมแครต โพสต์ข้อความทางโซเชียลมีเดียไม่กี่นาทีหลังทรัมป์ลงนามว่า “การพยายามยุบกระทรวงศึกษาธิการเป็นหนึ่งในขั้นตอนที่สร้างความเสียหายและเลวร้ายที่สุดที่โดนัลด์ ทรัมป์เคยทำมา สิ่งนี้จะทำร้ายเด็กๆ”

 

ด้าน ศ.ดร.สมพงษ์ เชื่อว่าการยุบกระทรวงศึกษาธิการของทรัมป์ ไม่สามารถทำแบบกะทันหันได้ แต่คงต้องค่อยๆ ลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป แล้วกระจายอำนาจไปยังแต่ละรัฐ โดยจะลดจำนวนบุคลากรลง อาจจะดูเฉพาะเรื่องสำคัญเท่านั้น เช่น ทิศทางการศึกษา หรือ เรื่องกู้ยืมเงินของนักเรียนนักศึกษา

 

ขณะที่ผศ. ดร.วิบูลพงศ์ พูนประสิทธิ์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และที่ปรึกษาสมาคมอเมริกาศึกษาในประเทศไทย ให้ความเห็นในอีกมุมว่า การยุบกระทรวงศึกษาธิการนั้นสามารถ ‘ทำได้’ แม้ว่าอาจจะมีเงื่อนไขในการผ่านสภาคองเกรส

 

เขามองว่าทรัมป์ในตอนนี้มีลักษณะเหมือนเป็น ‘เผด็จการโดยระบบ’ เนื่องจากทรัมป์และพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รวมถึงศาลสูงสุดสหรัฐฯ ก็มีผู้พิพากษาที่แต่งตั้งโดยทรัมป์ ซึ่งทำให้เขาอาจจะทำอะไรที่ไม่แคร์ทั้งสองสภาได้

 

หน้าที่ กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ

 

กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ ก่อตั้งขึ้นในปี 1979 ภายใต้การนำของประธานาธิบดี จิมมี คาร์เตอร์ โดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะรวมเอาแผนริเริ่มด้านการศึกษาต่างๆ ไว้ที่รัฐบาลกลาง ซึ่งมุ่งเน้นการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา การเผยแพร่ผลงานวิจัย การแจกจ่ายความช่วยเหลือของรัฐบาลกลาง และการบังคับใช้มาตรการต่อต้านการเลือกปฏิบัติ แต่ไม่ได้เข้าไปกำหนดหลักสูตรหรือโครงการต่างๆ ของแต่ละโรงเรียน

 

กระทรวงฯ ยังกำกับดูแลโรงเรียนในรัฐต่างๆ ประมาณ 100,000 แห่ง และโรงเรียนเอกชนอีกกว่า 34,000 แห่ง ซึ่งแม้ว่าเงินทุนของโรงเรียนในแต่ละรัฐมากกว่า 85% จะมาจากรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น แต่ทางกระทรวงยังจัดสรรเงินช่วยเหลือให้แก่โรงเรียนที่ขัดสนและโครงการด้านการศึกษาต่างๆ ทุนสำหรับโครงการศิลปะและการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัย

 

นอกจากนี้ทางกระทรวงฯ ยังดูแลโครงการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษามูลค่า 1.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ชาวอเมริกันหลายสิบล้านคนกู้ยืมเพื่อจ่ายเงินค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัย รวมถึงโครงการ Pell Grant ซึ่งมอบความช่วยเหลือทางการเงินให้กับนักเรียนที่มีรายได้น้อย

 

หลายฝ่ายกังวลว่าการสั่งยุบกระทรวงศึกษาธิการ จะส่งผลให้โครงการ Pell Grant และบริการต่างๆ สำหรับนักเรียนที่มีความทุพพลภาพอาจได้รับผลกระทบ แม้ทรัมป์ จะยืนยันหนักแน่นว่า โครงการเหล่านี้จะยังคงมีต่อไปแต่จะถูกกระจายไปให้หน่วยงานอื่นดูแล

 

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยืนยันว่า ทางการแต่ละรัฐจะเข้ามารับไม้ต่อในการควบคุมดูแลภารกิจต่างๆ แทนกระทรวงศึกษาธิการ

 

แต่สิ่งหนึ่งที่ทรัมป์ เน้นย้ำคือ จะไม่มีการจัดสรรเงินทุนของรัฐบาลกลางเพิ่มเติมสำหรับโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ‘อุดมการณ์ทางเพศ’ หรือแนวคิดความหลากหลาย ความเสมอภาค และการมีส่วนร่วม (Diversity, Equity & Inclusion : DEI) ซึ่งเป็นแนวคิดที่เขาไม่สนับสนุน

 

โอกาสเพิ่มความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา?

 

สำหรับข้อกังวลที่ว่าแนวคิดในการยุบกระทรวงศึกษาธิการของรัฐบาลกลาง และกระจายอำนาจไปยังแต่ละรัฐที่มีงบประมาณไม่เท่ากัน จะยิ่งส่งผลให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษามากขึ้นหรือไม่นั้น  ผศ. ดร.วิบูลพงศ์ เชื่อว่าในการตัดสินใจครั้งนี้ “ทรัมป์ไม่ได้มองประเด็นเรื่องของความเหลื่อมล้ำเป็นหลัก แต่มองในเรื่องอุดมการณ์มากกว่า”

 

โดยทรัมป์ มองว่า กระทรวงศึกษาให้ความรู้แก่ผู้คนในเชิงที่สอดคล้องกับนโยบายเสรีนิยม ซึ่งเปิดรับความแตกต่างหลากหลายในสังคม ทั้งมิติเพศ เชื้อชาติและสีผิว ซึ่งทรัมป์ไม่อยากให้สิ่งนี้เป็นทิศทางที่ถูกกำกับมาจากกระทรวงศึกษาธิการกลางหรือหน่วยงานของรัฐบาลกลาง แต่ให้ไปอยู่กับกระทรวงศึกษาของแต่ละรัฐแทน

 

ขณะที่ ศ.ดร.สมพงษ์ ให้ความเห็นว่าใน 50 รัฐของสหรัฐฯ มีความแตกต่างและความเหลื่อมล้ำ แต่ว่าความแตกต่างและความเหลื่อมล้ำนี้ นอกจากในเรื่องของตัวงบประมาณที่ทุ่มลงไปแล้ว ก็เป็นเรื่องของทรัพยากรของแต่ละรัฐที่แตกต่างกัน

 

โดยเขาเชื่อว่า การยุบกระทรวงศึกษาธิการของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ จะไม่ทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษานั้นหายไป แต่มองว่า ความใส่ใจต่อปัญหาจะดียิ่งขึ้น มีความเอาจริงเอาจังและการอยู่ใกล้ชิดกับปัญหา ทำให้ตัวเด็กนักเรียนและครอบครัวจะดียิ่งขึ้น เพราะถ้ามองจากส่วนกลาง ก็อาจไม่เห็นปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่ชัดเจนนัก

 

ภาพ: Carlos Barria / Reuters

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising