ภาพของนักฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่ทิ้งตัวลงไปนั่งกับพื้นพร้อมสีหน้าเหยเกกลายเป็นภาพที่แฟนฟุตบอลทั่วโลกคุ้นตาจนแทบจะชาชินไปแล้ว เพราะมีให้เห็นตลอดแทบทุกเกม
อาการแบบนี้ส่วนใหญ่แล้วคืออาการบาดเจ็บทางกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณกล้ามเนื้อด้านหลังโคนขาหรือที่เรียกกันว่าแฮมสตริง ซึ่งแทบทุกทีมมีปัญหาในเรื่องนี้หมด
อาร์เซนอลต้องเสีย บูกาโย ซากา ปีกตัวเก่งไปเป็นเวลาหลายเดือน และล่าสุดคือ ไค ฮาเวิร์ตซ์ ที่ปิดม่านฤดูกาลไปแล้ว ขณะที่เชลซีต้องเสีย นิโคลัส แจ็คสัน กองหน้าตัวเก่งไปเช่นเดียวกัน ส่วนลิเวอร์พูลเสีย โจ โกเมซ กองหลังตัวรับจบที่เจ็บด้วยอาการนี้เช่นเดียวกัน และสเปอร์สก็เจอปัญหาแผงหลังเจ็บแทบยกแผงตลอดเวลา
เรื่องนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่สร้างความกังวลให้แก่วงการลูกหนังอยู่ไม่น้อย ซึ่งมาพร้อมกับคำถามถึงบุคลากรทางการแพทย์ในเกมฟุตบอลว่า “ยังมีอะไรที่เราจะสามารถทำได้อีกไหม?”
แต่ก่อนจะหาคำตอบ บางทีเราอาจต้องย้อนกลับมามองคำถามด้วยกันอีกสักครั้ง
แฮมสตริงที่เป็นเหมือนคำสาปของเกมฟุตบอลในเวลานี้มีสาเหตุจากอะไรกันแน่?
อาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อแฮมสตริงความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรของวงการ เพราะเป็นหนึ่งอาการบาดเจ็บพื้นฐานที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้วในเกมกีฬา
โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอลที่นักกีฬาต้องวิ่งและเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วต่อเนื่องตลอดเป็นระยะเวลานานถึงเกมละ 90 นาทีด้วยกัน
แต่สิ่งที่กำลังทำให้คนในวงการฟุตบอล โดยเฉพาะในเกมพรีเมียร์ลีกกังวลกันคือเรื่องของจำนวนการบาดเจ็บที่ความรุนแรงเพิ่มขึ้นมาก
ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ของพรีเมียร์ลีก https://www.premierleague.com/ เองระบุว่า ในอาการบาดเจ็บของนักฟุตบอล 418 กรณีในฤดูกาล 2024/25 มีนักฟุตบอลที่ได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อด้านหลังโคนขามากถึง 100 คน
คิดเป็น 24 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนอาการบาดเจ็บทั้งหมด หรือเกือบ 1 ใน 4 ของอาการ
ตัวเลขตรงนี้อาจจะไม่น่าแปลกใจนักเมื่อเทียบกับจำนวนปริมาณการบาดเจ็บที่แฮมสตริงของนักฟุตบอลในช่วงเวลาเดียวกันของฤดูกาลที่แล้วที่อยู่ที่ 120 จาก 457 กรณี (26 เปอร์เซ็นต์) เรียกว่าก็พอเข้าใจได้ในปริมาณ
แต่สิ่งที่ข้อมูลชี้ให้เห็นเรื่องน่ากังวลคือนักฟุตบอลมีแนวโน้มที่จะต้องพักรักษาตัวกันอย่างยาวนานขึ้นจากอาการบาดเจ็บแบบนี้
โดยในจำนวนการบาดเจ็บแฮมสตริง 100 คนในฤดูกาลนี้ มี 9 คนเท่านั้นที่จะพักการเล่นถึง 13 วัน ขณะที่อีก 40 คนต้องพักการเล่นตั้งแต่ 14-30 วัน และอีก 51 คนต้องพักการเล่นมากกว่า 30 วัน ซึ่งเมื่อเทียบกับฤดูกาลที่แล้วที่ในจำนวนคนบาดเจ็บแฮมสตริง 120 คน มีแค่ 49 คนที่ต้องพักการเล่นมากกว่า 30 วัน
จำนวนผู้ที่บาดเจ็บจากอาการนี้และต้องพักยาวมีการเพิ่มขึ้นอย่างสังเกตเห็นได้
ความจริงอาการบาดเจ็บของแฮมสตริงไม่ได้เป็นปัญหาแค่ในอังกฤษ เพราะตามข้อมูลจากศาสตราจารย์ แยน เอคสตรานด์ จากมหาวิทยาลัยลินโคปิง ในสวีเดน ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่ฤดูกาล 2001/02 จนถึง 2021/22 โดยเก็บข้อมูลจาก 54 ทีมฟุตบอลใน 20 ประเทศทั่วยุโรปพบตัวเลขที่น่าสนใจ
จำนวนนักฟุตบอลบาดเจ็บแฮมสตริงเพิ่มขึ้นจาก 12 เปอร์เซ็นต์ เป็น 24 เปอร์เซ็นต์ หรือพูดง่ายๆ คือเจ็บเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว และอาการบาดเจ็บนั้นรุนแรงเพิ่มขึ้นมากอย่างมีนัยสำคัญ
จากเดิมที่เคยเข้าใจกันว่านักฟุตบอลเจ็บกล้ามเนื้อลักษณะนี้ก็แค่พักการเล่นราว 10 วันก็หายตึงแล้ว ตอนนี้หลายคนเจ็บรุนแรงจนถึงขั้นต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงว่ามีปัญหากล้ามเนื้อที่จุดไหน ซึ่งหมายถึงการพักการเล่นหลายเดือน
คำถามที่หลายคนอยากรู้คือ สาเหตุที่แท้จริงของปัญหาใหญ่ที่เป็นเหมือนคำสาปในยุคนี้เกิดจากอะไรกันแน่?
เรื่องนี้ผู้เชี่ยวชาญอย่าง เฟียร์ฟาล เคริน อดีตนักกายภาพบำบัดที่เคยร่วมงานกับทีมเชลซีเมื่อไม่นานมานี้ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจ
เครินบอกว่า “ที่เราคุ้นเคยกันคืออาการตึงกล้ามเนื้อแฮมสตริงแบบเดิมๆ นั้น ตอนนี้เราจะไม่ได้เห็นนักฟุตบอลกลับมาลงเล่นได้ในอีก 10 วันหรือมากกว่านั้นนิดหน่อยอีกแล้ว” ขณะที่ มาเฮตา โมลางโก ซีอีโอของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ (พีเอฟเอ) ออกมาเปิดเผยว่าตอนนี้นักฟุตบอลแทบไม่มีเวลาได้พักฟื้นร่างกายกันเลย
”พวกเขาแค่ลงไปแข่ง ได้พัก เล่น แล้วก็พัก” ซึ่งปัญหาคือระยะเวลาในการพักนั้นน้อยลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงโรคระบาดที่ต้องลงแข่งขกันต่อเนื่อง ต่อด้วยฟุตบอลโลก 2022 ที่มาแทรกตรงกลางฤดูกาล และยังมีเรื่องของจำนวนนาทีที่เพิ่มขึ้นในการเล่นเนื่องจากการตัดสินด้วยระบบ VAR และการทดเวลาที่เพิ่มขึ้น
เวลาในสนามที่เพิ่มขึ้น สวนทางกับเวลาพักนอกสนามที่ลดลงนั่นก็มากแล้ว
“เราคิดว่าปัญหาใหญ่ที่สุดในเรื่องอาการบาดเจ็บแฮมสตริงคือเรื่องของความเหนื่อยล้าและระยะทางในการวิ่งสปรินต์“ เครินเสริมข้อมูล “ยิ่งลงเล่นมากเท่าไรก็ยิ่งแทบไม่มีโอกาสได้พักฟื้นกันเลย”
ภาษากีฬาเรียกว่า “โหลด” เพิ่มขึ้นเยอะมากจนรับไม่ไหว
ฟุตบอลเป็นกีฬาที่มีการเปลี่ยนแปลงความเร็วในการวิ่งสูงมากแต่กลับแทบไม่มีการเหลียวแลในประเด็นเรื่องเหล่านี้เลย ทั้งๆ ที่แค่การวิ่งเต็มความเร็วแล้วหยุดในทันทีเพื่อจะกลับมาวิ่งต่ออีกครั้งนั้นสร้างภาระให้กับกล้ามเนื้อของนักกีฬาสูงมาก
แท็กติกฟุตบอลสมัยใหม่ที่เน้นเรื่องของเกมเพรสซิงไล่บีบคู่แข่งอย่างเมามัน ถึงจะถูกอกถูกใจแฟนๆ แต่ก็เป็นตัวจุดชนวนอาการบาดเจ็บได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกันการดันแนวรับสูง (High Line) ที่เป็นที่นิยมของโค้ชในยุคนี้
เพราะเวลาเพรสซิงแล้วไม่ได้ โดนแก้เพรสแล้วถูกเจาะทะลวงหลังไลน์ที่ดันสูง นั่นหมายถึงนักฟุตบอลต้องวิ่งสับเป็นระยะทาง 30-40 เมตรเพื่อลงไปช่วยกันป้องกัน ทำให้สร้างภาระให้แก่กล้ามเนื้อที่เพิ่มความเสี่ยงอาการบาดเจ็บ
และอย่าลืมว่ากว่าจะนำแท็กติกมาใช้ในสนามได้ก็ต้องผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างหนักหน่วง เท่ากับนักฟุตบอลยุคนี้ทำงานหนักมากกว่านักฟุตบอลในสมัยก่อนมาก เรียกว่าใช้ร่างกายเปลืองกว่าเยอะ
อย่างไรก็ดีนอกเหนือจากสิ่งที่เราคิดกันว่าเป็นสาเหตุเหล่านี้ ไม่ว่าจะเรื่องโปรแกรมที่ถี่ขึ้น นักฟุตบอลเล่นกันหนักขึ้น มีแท็กติกที่ใช้ร่างกายเปลืองขึ้น ยังมีปัจจัยที่น่าสนใจซ่อนอยู่ด้วย
เช่น นักฟุตบอลในปัจจุบันมีร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งก็อาจเป็นสาเหตุได้เช่นกัน
เรื่องนี้ฟังดูแล้วน่าแปลกใจ แข็งแกร่งขึ้นก็ต้องยิ่งดีสิ แต่ในความเป็นจริงคือยิ่งร่างกายแข็งแกร่งขึ้น มีพลังมากขึ้น กลายเป็นร่างกายกล้ามเนื้อไม่อาจรับได้ไหวทั้งหมด โดยเฉพาะจุดที่พบว่ามีนักฟุตบอลบาดเจ็บเพิ่มขึ้นเยอะมากที่เรียกว่าจุด T-Junction
ในทางวิทยาศาสตร์การกีฬามีการศึกษากันแล้วว่าจะมีการออกกำลังกายส่วนไหนที่จะสามารถทำให้เส้นเอ็น (Tendon) มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเพื่อลดภาระของกล้ามเนื้อได้ไหม ขณะที่อีกทางก็มีการพูดถึงกันว่าเราจะไปทางไหนดีระหว่างการลดภาระของเส้นเอ็น หรือเพิ่มความสามารถให้มันเพื่อรองรับการใช้งานที่หนักขึ้น
ทางการแพทย์เอง แพทย์ประจำทีมได้รับคำแนะนำให้ฟังความเห็นจากนักฟุตบอลถึงอาการอย่างละเอียด หากมีการบอกว่ามีอาการตึงหรือฉีก (หรือภาษานักฟุตบอลไทยคือ “ปึ้ด”) ให้สันนิษฐานว่ามีการฉีกของกล้ามเนื้อ
นอกจากนี้ยังควรตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียดเจาะลึกหาสาเหตุให้เจอ ซึ่งบางทีการตรวจด้วยเครื่อง MRI อย่างเดียวอาจะไม่พอ อาจต้องใช้อัลตราซาวด์เพื่อระบุหาจุดต้นตออาการบาดเจ็บที่บางครั้งก็ซ่อนอยู่ลึกในกล้ามเนื้อมัดที่อยู่ด้านใน
ทีมเองอาจจะต้องมีการบริหารจัดการทรัพยากรผู้เล่นให้เหมาะสมด้วย ซึ่งเรื่องนี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ลิเวอร์พูลนำโด่งในพรีเมียร์ลีก เพราะนักเตะในทีมบาดเจ็บไม่มากและไม่หนักเท่ากับคู่แข่งอย่างอาร์เซนอล ซึ่งมาจากการบริหารจัดการผู้เล่นอย่างดี และที่สำคัญคือความยืดหยุ่นในการเล่น ใครจะคิดว่าทีมที่เคยเพรสซิงหนักในยุคของเจอร์เกน คล็อปป์ จะกลายเป็นหนึ่งในทีมที่วิ่งน้อยที่สุดในยุคของ อาร์เน สลอต
อย่างไรก็ดีหากเราอ่านย้อนกลับไปแล้ว สิ่งที่วงการฟุตบอลควรจะทำและหันมาพูดคุยกันอย่างจริงจังคือการลดจำนวนเกมการแข่งขันลง
เพราะการป้องกันย่อมดีกว่าการแก้ไขเสมอ วัวหายแล้วล้อมคอก บางทีมันไม่ทันการณ์แล้ว
เขียนตรงนี้ผู้เขียนต้องขอตัวไปยืดกล้ามเนื้อแฮมสตริงก่อน เปล่าหรอกไม่ได้เกิดจากการเล่นกีฬา แต่เกิดจากความชรา นั่งทำงานนานๆ ไม่ได้…
อ้างอิง