เซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร เตรียมตัวเดินทางไปยังกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อพบกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ หลังประกาศแผนเพิ่มงบประมาณสำหรับการใช้จ่ายด้านกลาโหมจาก 2.3% ของ GDP เป็น 2.5% ของ GDP ภายในปี 2027
ในปี 2024 ที่ผ่านมา งบใช้จ่ายด้านกลาโหมของสหราชอาณาจักรอยู่ที่กว่า 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือกว่า 2.3 ล้านล้านบาท ซึ่งจากประกาศของสตาร์เมอร์ หมายความว่า ตั้งแต่ปี 2027 เป็นต้นไป งบใช้จ่ายด้านกลาโหมของสหราชอาณาจักร จะเพิ่มสูงขึ้นอีกปีละมากกว่า 1.69 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือกว่า 5.7 แสนล้านบาท
การประกาศเพิ่มงบกลาโหมดังกล่าว เกิดขึ้นในขณะที่ผู้นำทั่วทั้งยุโรปกำลังมองหาแนวทางในการปฏิรูปนโยบายกลาโหม เนื่องจากเกรงว่ายุโรปอาจเปราะบางลง จากการที่สหรัฐฯ หันไปพูดคุยและจับมือกับรัสเซียเพื่อหาทางบรรลุข้อตกลงยุติสงครามยูเครน
โดยที่ผ่านมา ทรัมป์เรียกร้องให้ชาติยุโรปที่เป็นสมาชิก NATO เพิ่มงบใช้จ่ายด้านกลาโหมมากขึ้น ในขณะวิพากษ์วิจารณ์การสนับสนุนความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ ให้แก่ยูเครนมาโดยตลอด ซึ่งทรัมป์เน้นย้ำความต้องการให้ชาติยุโรป เข้าไปมีบทบาทมากขึ้นในการรับประกันความมั่นคงระยะยาวแก่ยูเครน
ทั้งนี้ ประเด็นสงครามยูเครนจะเป็นหัวข้อหลักในการหารือระหว่างสตาร์เมอร์และทรัมป์ โดยคำถามสำคัญคือ ท่าทีของสตาร์เมอร์ ที่ตัดสินใจประกาศเรื่องนี้ก่อนพบทรัมป์ จะเป็นประโยชน์หรือมีผลเช่นไร ต่อนโยบายการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างสหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ ที่เป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นกันมายาวนาน
บทวิเคราะห์โดย เจมส์ แลนเดล (James Landale) ผู้สื่อข่าวด้านการทูตของ BBC มองว่า ท่าทีของสตาร์เมอร์ เป็นการนำเสนอให้ทรัมป์ เห็นว่าสหราชอาณาจักรกำลังตอบสนองต่อวาระที่ทรัมป์ พยายามผลักดัน
สัญญาณในทางบวก เห็นได้จากการที่ ปีเตอร์ เฮกเซธ (Peter Hegseth) รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ กล่าวว่าเขาได้พูดคุยกับจอห์น ฮีลีย์ (John Healey) รัฐมนตรีกลาโหมอังกฤษ และอธิบายถึงแผนเพิ่มงบใช้จ่ายด้านกลาโหมครั้งนี้ว่าเป็น “ก้าวสำคัญจากพันธมิตรที่ยืนยาว”
ดังนั้น การประกาศแผนดังกล่าวอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับสตาร์เมอร์ ในการได้เข้าไปทำเนียบขาวและรับฟังความเห็นจากประธานาธิบดีทรัมป์
อย่างไรก็ตาม ท่าทีของสตาร์เมอร์ ยังไม่แน่ว่าจะช่วยให้เขาสามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นความมั่นคงของยูเครนและยุโรปได้มากขึ้นหรือไม่ อีกทั้งยังไม่แน่ว่าทรัมป์ จะยินยอมให้ยูเครนและยุโรปได้มีที่นั่งในโต๊ะเจรจารอบต่อไป หรือเปิดใจมากขึ้นกับแนวคิดที่ว่า สหรัฐฯ ควรมีบทบาทในการรับประกันความมั่นคงของยูเครนหลังยุติสงคราม
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่า สตาร์เมอร์สามารถชี้ให้ทรัมป์เห็นได้ว่า สหราชอาณาจักรกำลังแสดงความเป็นผู้นำในเรื่องนี้ และชี้ทางให้พันธมิตรยุโรปอื่นๆ ปฏิบัติตาม ขณะเดียวกันยังแสดงให้เห็นว่า สหราชอาณาจักรไม่จำเป็นต้องก่อ ‘ความผิดพลาดครั้งประวัติศาสตร์’ จากการต้องเลือกระหว่างยุโรปกับสหรัฐฯ
มัลคอล์ม ชาลเมอร์ส (Malcolm Chalmers) รองผู้อำนวยการสถาบัน Royal United Services Institute ให้ความเห็นต่อท่าทีของสตาร์เมอร์ว่า “ไม่ว่าสหราชอาณาจักรจะลงมือทำอะไรก็ตามในด้านกลาโหม สหรัฐฯ ก็จะให้ความสนใจไปทางอื่น และจะไม่มีทางมารับบทบาทนำด้านความมั่นคงของยุโรปอย่างที่สหรัฐฯ เคยทำมานานกว่าครึ่งศตวรรษ”
อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์จาก Chatam House องค์กรวิจัยด้านกิจการระหว่างประเทศของอังกฤษ ชี้ถึงสิ่งที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรควรทำเพื่อก้าวขึ้นมามีบทบาทนำในการปกป้องยูเครนและยุโรป
โดยหนึ่งในแนวทางที่เหมาะสม ก็คือการเพิ่มงบใช้จ่ายด้านกลาโหมเป็น 2.5% ของ GDP เพื่อให้สหราชอาณาจักรมีสถานะผู้นำที่น่าเชื่อถือ แต่มองว่าควรจะเพิ่มตั้งแต่ปีงบประมาณหน้า เนื่องจากปัญหาความไม่เพียงพอของอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งรายงานการตรวจสอบการป้องกันเชิงยุทธศาสตร์ที่กำลังจะมาถึง (The Forthcoming Strategic Defence Review) ที่เขียนโดยลอร์ด โรเบิร์ตสัน อดีตรัฐมนตรีกลาโหม คาดการณ์ว่า ในกรณีเร่งด่วนที่เกิดการสู้รบที่เข้มข้นขึ้น กองทัพสหราชอาณาจักรจะมีกระสุนปืนให้ใช้เพียงพอแค่ 2 วันครึ่งเท่านั้น
แนวทางจัดหางบประมาณ?
Chatam House มองว่า แนวทางในการจัดหางบประมาณ เพื่อนำมาเพิ่มงบใช้จ่ายทางทหารของประเทศยุโรปต่างๆ รวมถึงสหราชอาณาจักรที่มีสันติภาพมายาวนาน และที่ผ่านมาได้นำงบประมาณทางทหารมาใช้กับสวัสดิการอื่นๆ ของประชาชน อาจต้องเผชิญกับความท้าทายทางการเมืองไม่น้อย โดยอาจใช้เวลาหลายปีหรือหลายทศวรรษ
ในระยะสั้น หนทางที่เป็นไปได้ อาจต้องพึ่งพากลไกการระดมทุนต่างๆ เช่น การออกพันธบัตรกลาโหม หรือการกู้ยืมร่วมกันระหว่างสหราชอาณาจักรกับชาติยุโรปอื่นๆ
อีกแนวทางที่เป็นไปได้คือการตัดงบประมาณด้านอื่นๆ โดยก่อนหน้านี้ สตาร์เมอร์ เผยว่า เขาจะปรับลดงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศลง เพื่อเพิ่มงบประมาณใช้จ่ายด้านกลาโหม ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวที่รัฐบาลทรัมป์อาจยินดี แต่ทางองค์กรการกุศลด้านการพัฒนา กลับมองว่าแผนของสตาร์เมอร์ในครั้งนี้ เป็นการ ‘ทรยศ’
องค์กร Save the Children ชี้ถึงแนวคิดตัดงบช่วยเหลือต่างประเทศของสตาร์เมอร์ว่า “การทรยศต่อเด็กที่เปราะบางที่สุดในโลกและผลประโยชน์ของชาติของสหราชอาณาจักร”
“การตัดเชือกที่ช่วยชีวิตครอบครัวต่างๆ ในสถานที่ที่อันตรายที่สุดนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าเคารพเลย” มอซซัม มาลิก (Moazzam Malik) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Save the Children กล่าว
ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า แนวคิดการตัดงบช่วยเหลือดังกล่าว เป็นการทำลายนโยบายให้ความช่วยเหลือเพื่อมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดกับประเทศต่างๆ ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
เดวิด มิลลิแบนด์ ซีอีโอของคณะกรรมการกู้ภัยระหว่างประเทศ (International Rescue Committee: IRC) และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหราชอาณาจักร กล่าวว่าการตัดลดงบช่วยเหลือต่างประเทศ “เป็นการทำลายชื่อเสียงอันน่าภาคภูมิใจของสหราชอาณาจักร ในฐานะผู้นำด้านมนุษยธรรมและการพัฒนาระดับโลก”
อ้างอิง: