ช่วงปลายปี 2567 ที่ผ่านมาโรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทาราได้มีการเปิดโรงแรมแห่งใหม่ในมัลดีฟส์ภายใต้ชื่อ Centara Mirage Lagoon Maldives โดยมีจำนวนห้องพักทั้งสิ้น 145 ห้อง
Positioning ของโรงแรมแห่งนี้ถือว่าแตกต่างจากโรงแรมในมัลดีฟส์อื่นๆ ที่มักจับกลุ่มคู่รักที่มาฮันนีมูนในบรรยากาศทะเลใสสะอาดของมหาสมุทรอินเดีย แต่กลับเป็นกลุ่ม ‘ครอบครัว’ ที่มีคู่แข่งไม่มากนัก นับๆ ดูยังไม่ครบนิ้วของมือทั้ง 2 ข้างเลย
นั่นจึงเป็นที่มาของการเลือกใช้แบรนด์ Centara Mirage ซึ่งจับกลุ่มครอบครัวด้วยการมีจุดเด่นตรงที่มีสวนน้ำ ดังนั้นในวันที่ THE STANDARD WEALTH ได้ไปเยือน Centara Mirage Lagoon Maldives จึงพบว่า ลูกค้าในโรงแรมเกือบทั้งหมดมักมีเด็กมาด้วย
อีกสิ่งที่แตกต่างคือปรกติแล้วห้องพักแบบ Overwater Villa หรือห้องพักที่ตั้งอยู่กลางน้ำทะเลมักจะปฏิเสธไม่ให้เด็กเข้าพักเพื่อป้องกันอันตราย แต่ที่นี้ได้มีการทำไม้กั้นทำให้ครอบครัวสามารถเข้าพักได้ ทำให้จำนวนห้องทั้งหมด 145 ห้อง มีเพียง 38 ห้องเท่านั้นที่ไม่ใช่ห้องที่เหมาะกับครอบครัว
แอนดรูว์ แจนสัน ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมเซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์ และโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์ ระบุว่า ลูกค้าที่เข้าพักมากที่สุด 5 ประเทศแรกคือ จีน, ไทย, รัสเซีย, สหราชอาณาจักร และอินเดีย ในภาพรวมมีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 5.5 คืน แต่ถ้าแยกเป็นเอเชียมักจะอยู่ 3-4 คืน ส่วนยุโรปและรัสเซียจะเพิ่มเป็น 7-9 คืน
อย่างที่บอกว่าโรงแรมแห่งนี้จับกลุ่มครอบครัวดังนั้น 70% ของแขกที่เข้าพักจึงเป็นลูกค้ากลุ่มนี้ในขณะที่ 20% เป็นคู่รัก และที่เหลือมาคนเดียว แตกต่างจากภาพรวมของโรงแรมในมัลดีฟส์ที่ส่วนใหญ่ 60% จะมาแบบคู่รักและครอบครัวแค่ 30%
อย่างไรก็ตาม ถึงช่วงนี้จะเป็นไฮซีซันแต่ด้วยความที่เป็นโรงแรมเปิดใหม่จึงต้องทำราคาที่ดึงดูดลูกค้าก่อน ดังนั้นราคาเริ่มต้นจึงอยู่ที่ 400-1,100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 13,000-36,900 บาทต่อคืน แต่ไฮซีซันในปีต่อไปคาดว่าจะสามารถเพิ่มราคาได้อีก 10-15%
“ในปีแรกนี้เราคาดว่า Centara Mirage Lagoon Maldives จะมีอัตราเข้าพักอยู่ที่ราว 45-55% ด้วยกัน” แอนดรูว์ระบุ
มัลดีฟส์ถือเป็นตลาดที่กำลังเติบโตในแง่ของการท่องเที่ยวสะท้อนได้จากจำนวนโรงแรมที่เพิ่มขึ้นจาก 130 แห่งมาเป็น 178 แห่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
การลงทุนยังมีอย่างต่อเนื่องซึ่งแอนดรูว์ระบุว่า นักลงทุนมองหาโรงแรมที่อยู่ใกล้สนามบินมากขึ้น แต่ค่อนข้างหายากแล้วส่วนใหญ่จึงถมทะเลสร้างใหม่ขึ้นมา แม้ทุกปีรัฐบาลของมัลดีฟส์จะเปิดประมูลเพื่อเช่าเกาะระยะยาว 50-99 ปีแล้วแต่สัญญา ซึ่งหากเป็นเกาะขนาดเล็กจะอยู่ที่ราว 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เกาะใหญ่จะมีราคา 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป
ตัว Centara Mirage Lagoon Maldives ก็สร้างอยู่บนเกาะที่ถมทะเลขึ้นมาใหม่ โดยใช้เงินลงทุนไปราว 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 6,800 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วย 2 โรงแรม อีกแห่งคือ Centara Grand Lagoon Maldives เป็นโรงแรม 5 ดาวที่กำลังจะเปิดในวันที่ 1 เมษายนนี้
เครือเซ็นทาราเองไม่ใช่บริษัทไทยแห่งเดียวที่เข้าไปทำธุรกิจในมัลดีฟส์ นอกจากเครือเซ็นทาราที่กำลังจะมีโรงแรมทั้งสิ้น 4 แห่งแล้ว ยังมีเครือไมเนอร์ที่มีอยู่ราว 9 แห่ง, S Hotels & Resorts ที่อยู่ในเครือสิงห์ เอสเตท มีประมาณ 4 แห่ง และเครือดุสิตธานีอีก 2 แห่ง
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพบว่า สำหรับ 9 เดือน ปี 2567 มีนักท่องเที่ยวรวม 1.5 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 130,979 คน หรือ 10% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวน 75,158 คน เทียบปีก่อน คิดเป็น 57% ของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด
ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวอินเดียลดลงอย่างมีนัยสำคัญจำนวน 59,198 คน หรือลดลง 40% เทียบปีก่อนทั้งนี้นักท่องเที่ยว 3 อันดับแรกได้แก่ จีน 15%, รัสเซีย 11% และสหราชอาณาจักร 8% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด
โดยในช่วงเวลาเดียวกันนี้ CENTEL รายงานรายได้รวม 17,838 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 1,308 ล้านบาทหรือ 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 16,530 ล้านบาท
ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 CENTEL มีโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 52 โรงแรม (11,101 ห้อง) แบ่ง 20 โรงแรม (5,566 ห้อง) เป็นโรงแรมที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของ และ 32 โรงแรม (5,535 ห้อง) เป็นโรงแรมที่อยู่ภายใต้สัญญาบริหาร