วันนี้ (29 มกราคม) ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.1) ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เพื่อติดตามสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)
ทั้งนี้ พล.อ. นิพัทธ์ ทองเล็ก ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษา บกปภ.ช., อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองผู้บัญชาการฯ, ภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะผู้อำนวยการกลาง พร้อมด้วยคณะกรรมการฯ, หน่วยงานราชการระดับกระทรวง กรม และเหล่าทัพ ร่วมประชุมที่ห้องประชุมราชสีห์ ชั้น 2 อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย
การประชุมครั้งนี้เป็นกลไกตามกฎหมายและแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ซึ่งอนุทินติดตามสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) รวมถึงการแก้ไขปัญหาในปัจจุบันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดมลพิษจากแหล่งกำเนิดต่างๆ ทั้งการเผาในที่โล่ง, การลักลอบเผาป่า, ภาคขนส่ง, ภาคอุตสาหกรรม, การก่อสร้าง, หมอกควันข้ามแดน และจังหวัดที่มีจำนวนจุดความร้อน (Hotspot) สะสมสูงสุด 5 อันดับ คือ กาญจนบุรี, ชัยภูมิ, ลพบุรี, ตาก และนครราชสีมา ตลอดจนรับฟังการคาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์จากหน่วยงานพยากรณ์อากาศ
อนุทินกล่าวว่า แพทองธาร ชินวิตร นายกรัฐมนตรี ห่วงใยสถานการณ์ฝุ่นละอองนี้เป็นอย่างมาก พร้อมได้ติดตามและประสานงานเรียกประชุมหารือตลอดเวลา และกรุณาสั่งการให้เชิญและแต่งตั้ง ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษา บกปภ.ช.
“วันนี้ บกปภ.ช. ทำงานในฐานะตัวแทนรัฐบาลในการสั่งการทุกกระทรวงและกรม โดยในระดับพื้นที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ในพื้นที่ ซึ่งมีเอกภาพในการบริหารจัดการจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย โดยปัจจุบันผู้ว่าฯ ภาคเหนือทั้ง 17 จังหวัดประกาศให้เป็นพื้นที่ห้ามเผาเรียบร้อยแล้ว และยกระดับการดำเนินทุกมาตรการอย่างเข้มข้น โดยใช้ระบบการบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จ (Single Command) สามารถใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน นอกเหนือจากอำนาจในฐานะผู้ว่าฯ ทั้งนี้ การร่วมมือกันอย่างเต็มที่จะทำให้เราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างเร็วที่สุด”
อนุทินกล่าวอีกว่า ต้องยอมรับว่าตอนนี้มูลเหตุของปัญหาอยู่ที่การเผา ดังนั้นเราต้องควบคุมไม่ให้มีการเผา ต้องจัดการในบ้านเราให้เรียบร้อยก่อน และหากในประเทศเราไม่มีปัญหา แต่ยังมีสถานการณ์มาจากประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลก็จะต้องมีมาตรการลงโทษ (Sanctions) อาทิ ไม่รับซื้อสินค้าเกษตรจากประเทศที่ก่อปัญหา
“เราต้องดำเนินทุกมาตรการอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้เกิดการเผา เพราะไม้ขีดก้านเดียว เพียงแค่แก้ปัญหาในการสร้างรายได้ แต่สร้างปัญหาให้กับคนทั้งประเทศ เราจึงต้องไม่ให้เกิดปัญหาเช่นนี้อีก และต้องกำหนดวิธีการที่เป็นทางเลือกให้กับพี่น้องประชาชนเกษตรกร เช่น ที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ แก้ปัญหาด้วยการฝังกลบ และหาวิธีในการแปรสภาพเศษซังข้าวโพดจำนวนกว่า 700,000 กิโลกรัม (700 ตัน) ด้วยการขอความร่วมมือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำเครื่องจักรกลไปไถกลบ นำเครื่องแพ็กมาใช้งาน โดยชาวบ้านนำซังข้าวโพดไปอัดแพ็กเป็นสี่เหลี่ยม เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง (Bio-Power) ทำอาหารสัตว์ ทำปุ๋ยชีวภาพ ซึ่งเป็นทางเลือกที่จะทำให้เกษตรกรไม่เผา โดยมีความจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง” อนุทินกล่าว
อนุทินกล่าวต่อว่า ที่ผ่านมารัฐบาลใช้งบประมาณในการเยียวยาฟื้นฟู ซึ่งในปีที่ผ่านมารัฐบาลใช้งบประมาณเยียวยาอุทกภัยทั่วทุกภาคไปกว่า 2 หมื่นล้านบาทตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งต้องประสบภัยก่อน แต่ในกรณีสถานการณ์ภัยไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก มีความแตกต่างกัน เพราะถ้าจะเกิดภัยต้องเผาก่อน และค่ามลพิษต้องเกิน 150 ไมโครกรัม ซึ่งหากไปถึงจุดนั้นประเทศไทยมืดมิดทั้งประเทศแล้ว และยังส่งผลต่อการดูแลสุขภาพอนามัยที่จะต้องเจ็บป่วยจากโรคระบบทางเดินหายใจและโรคอื่นๆ ดังนั้นจึงต้องพิจารณาหาแนวทางร่วมกันเพื่อป้องก่อนที่จะเกิดภัย
อนุทินเน้นย้ำว่า ให้ผู้ว่าฯ ใช้อำนาจตามกรอบกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติอย่างเต็มศักยภาพ ต้องตีเส้นแบ่งกรอบในแต่ละจังหวัด เพื่อบูรณาการความร่วมมือทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายความมั่นคง, ทหาร, ตำรวจ, ภาครัฐ, ภาคการเกษตร, อสม., อาสาสมัคร และทุกภาคส่วน โดยหน่วยงานต้องบังคับใช้กฎหมายที่เด็ดขาดและควบคู่ไปกับการสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชน
ในช่วงท้ายการประชุม อนุทินมีข้อสั่งการให้ทุกหน่วยงานร่วมบูรณาการใน 6 มาตรการ เพื่อยกระดับการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก ได้แก่
- มาตรการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนสถานการณ์อย่างทันท่วงที
- มาตรการป้องกันปราบปรามและบังคับใช้กฎหมาย เพื่อควบคุมการเผาอย่างเด็ดขาด
- ลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนให้น้อยที่สุด
- มาตรการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานอย่างเข้มข้น
- มาตรการสนับสนุนงบประมาณ ด้วยการเร่งรัดกระบวนการพิจารณางบกลาง เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้แก่หน่วยงานที่ขอรับการสนับสนุนให้ทันต่อสถานการณ์ในการแก้ไขปัญหา
- มาตรการการขับเคลื่อนกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ
การประชุมในครั้งนี้ ขจร ศรีชวโนทัย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง, อธิบดีกรมในสังกัดทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง, หน่วยงานด้านความมั่นคง และหน่วยงานภาคีเครือข่าย ร่วมประชุม โดยเป็นการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ