One Piece Fan Letter อนิเมะขนาดสั้นที่สร้างขึ้นในโอกาสฉลองครบรอบ 25 ปีของอนิเมะที่ผู้ชมทั่วโลกหลงรักอย่าง One Piece โดยดัดแปลงจากรวมเรื่องสั้น One Piece novel Straw Hat Stories ของนักเขียน โทโมฮิโตะ โอซากิ เพิ่งเข้าฉายทาง Netflix บ้านเราเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา
สำหรับเรื่องราวของ One Piece Fan Letter เป็นการนำเหตุการณ์ที่กลุ่มโจรสลัดหมวกฟางกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในรอบ 2 ปี ณ เกาะซาบอนดี้ มาบอกเล่าผ่านมุมมองของเด็กสาวผมส้มผู้เป็นแฟนคลับตัวยงของ นามิ ที่ตั้งใจเขียนจดหมายเพื่อส่งให้ถึงมือไอดอลของเธอ และสองพี่น้องทหารเรือหนุ่ม ผู้เคยร่วมรบในสงครามมารีนฟอร์ดที่ได้รับคำสั่งให้จับกุมกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางให้สำเร็จ
นอกจากเรื่องราวการผจญภัยสุดตื่นตาและมิตรภาพอันน่าประทับใจของเหล่ากลุ่มโจรสลัดหมวกฟาง อีกหนึ่งเสน่ห์สำคัญของมังงะและอนิเมะ One Piece เห็นจะเป็นโลกและประวัติศาสตร์อันกว้างใหญ่ไพศาลที่อาจารย์เออิจิโระ โอดะ รังสรรค์ขึ้น ตั้งแต่ประวัติความเป็นมาขององค์กร อาณาจักร เผ่าพันธุ์ และหมู่เกาะต่างๆ, ปริศนาของช่วงเวลา 100 ปีแห่งความว่างเปล่า, เจตนารมณ์แห่ง D, อาวุธโบราณทั้งสาม, จอยบอย และเรื่องราวอีกมากมาย ที่เปิดพื้นที่ให้ผู้ชมหาคำตอบไปพร้อมกับกลุ่มหมวกฟาง
แต่ท่ามกลางการผจญภัยอันยิ่งใหญ่ อีกหนึ่งปริศนาที่ชวนให้เราสงสัยไม่แพ้กันคือเรื่องราวของ ‘ผู้คนธรรมดา’ ที่อาศัยอยู่ในโลกอันกว้างใหญ่เหล่านี้เขาอยู่กันอย่างไร พวกเขาเฝ้ามองและได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ อย่างไร
ซึ่ง One Piece Fan Letter ก็ทำหน้าที่พาผู้ชมเข้าไปสำรวจมุมมองของกลุ่มคนธรรมดาที่ไม่ได้มีผลปีศาจเวอร์วังหรือฮาคิสุดแกร่ง ออกมาได้อย่างอบอุ่นหัวใจ
จุดเด่นข้อแรกที่เป็นองค์ประกอบสำคัญซึ่งทำให้ One Piece Fan Letter น่าสนใจมากๆ คือการเลือกเหตุการณ์สงครามมารีนฟอร์ดและการรวมตัวกันอีกครั้งของกลุ่มหมวกฟางบนเกาะซาบอนดี้มาใช้เป็นฉากหลัง เพราะตลอดระยะเวลาหลายพันตอนของ One Piece มีเหตุการณ์สำคัญๆ ที่ผู้สร้างสามารถหยิบมานำเสนอได้มากมาย แต่ความยากในความเยอะเหล่านี้คือการเลือกเหตุการณ์ที่ ‘เหมาะสมที่สุด’ สำหรับการเล่าเรื่อง เพื่อให้ผู้ชมเห็นถึงมุมมองและผลกระทบที่พวกเขาได้รับจากเหตุการณ์ต่างๆ ขณะเดียวกันก็ต้องสอดคล้องกับเนื้อเรื่องหลักด้วย
ดังนั้นการเลือก 2 เหตุการณ์สำคัญอย่างสงครามมารีนฟอร์ด ซึ่งเป็นสงครามที่ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อโลก One Piece แถมยังมีตัวละครสำคัญมากมายเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ และการรวมตัวกันอีกครั้งของกลุ่มหมวกฟางบนเกาะซาบอนดี้ที่สมาชิกแต่ละคนต่างแยกย้ายกันไปนานกว่า 2 ปีมาใช้ มันจึงมีพื้นที่ว่างที่เหมาะสมและน่าสนใจมากๆ ให้เราได้ย้อนเวลากลับไปสำรวจเหตุการณ์เหล่านี้อีกครั้งผ่านมุมมองใหม่ๆ ว่าความรู้สึกของคนตัวเล็กๆ ที่อยู่ท่ามกลางสงครามอันยิ่งใหญ่ครั้งนั้นเป็นอย่างไร มุมมองของคนธรรมดาที่รับรู้ว่ากลุ่มหมวกฟางกลับมารวมตัวกันอีกครั้งเป็นอย่างไร และการผจญภัยอันยิ่งใหญ่ของพวกเขานั้นส่งผลต่อคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง
จุดเด่นประการต่อมาคือเรื่องราวของตัวละครหลัก แน่นอนว่าจะต้องยึดโยงกับกลุ่มหมวกฟาง แต่เรื่องราวของเด็กสาวและทหารเรือหนุ่มก็มีประเด็นที่แข็งแรงและน่าสนใจในตัวเองเช่นกัน
เริ่มต้นด้วยทหารหนุ่มผู้พาเราไปสำรวจมุมมองเล็กๆ ในเหตุการณ์สุดยิ่งใหญ่อย่างสงครามมารีนฟอร์ด ที่ทำให้เราเห็นว่าท่ามกลางการประชันหน้ากันของเหล่าโจรสลัดและทหารเรือสุดแกร่งนั้น ยังมีการต่อสู้เล็กๆ ของทหารเรือที่ไม่ได้มีความกล้าหาญหรือพลังเวอร์วัง แต่เขาแค่พยายามต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดจากสงครามที่ไม่ได้ก่อไปให้ได้เท่านั้น เราจึงเห็นภาพและบรรยากาศของทหารหนุ่มที่เหนื่อยล้าและหวาดกลัว ซึ่งต้องอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ของเหล่ายอดฝีมือผ่านมุมมองของเขา
หรือเรื่องราวของเด็กสาวผมส้มที่อยากไปส่งจดหมายให้ถึงมือนามิ แม้การผจญภัยของเธอจะไม่ได้ยิ่งใหญ่และน่าตื่นตะลึงแบบเดียวกับไอดอลของเธอ แต่ก็ถ่ายทอดมุมมองของคนธรรมดาที่ได้รับผลกระทบ (หรือแรงบันดาลใจ) จากการผจญภัยของกลุ่มหมวกฟางได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะ ‘ความกล้าหาญ’ ที่เธอได้รับจากนามิ เพราะหากพูดถึงสเกลพลังของกลุ่มหมวกฟาง นามิถือเป็นสมาชิกที่ไม่ได้มีพลังแข็งแกร่งมากนักเมื่อเทียบกับตัวละครอื่นๆ แต่เธอก็พร้อมที่จะออกผจญภัยและช่วยเหลือพวกพ้องอย่างสุดความสามารถ นั่นจึงจุดประกายให้เด็กสาวเห็นว่าแม้เธอจะเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่ได้มีผลปีศาจหรือฮาคิสุดแกร่ง แต่ก็สามารถเริ่มต้นออกผจญภัยเล็กๆ ของตัวเองที่สร้างความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน
อีกหนึ่งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เราชื่นชอบเป็นการส่วนตัวคือการที่ผู้สร้างเลือกจังหวะการปรากฏตัวของสมาชิกกลุ่มหมวกฟางออกมาได้อย่างเหมาะสม ไม่มากเกินไปจนบดบังเรื่องราวของตัวละครหลัก แถมยังช่วยผลักดันให้เรื่องราวของทหารหนุ่มและเด็กสาวโดดเด่นมากขึ้นอีกด้วย
โดยเฉพาะในฉากสุดท้ายที่เด็กสาวตัดสินใจ ‘สวมแว่นตา’ ของตัวเองอีกครั้ง และพยายามขัดขวางแผนการของกลุ่มทหารเรือด้วยพลังของตัวเอง ก่อนที่เธอจะได้พบกับนามิที่กำลังออกเรือไปพร้อมกับพรรคพวกจากที่ไกลๆ ซึ่งแม้สุดท้ายจะไม่ได้มอบจดหมายให้กับนามิต่อหน้าอย่างที่ตั้งใจ แต่ฉากนี้ก็ถ่ายทอดความกล้าหาญและความรู้สึกที่เธอได้รับจากนามิอย่างชัดเจนและทรงพลังไม่น้อยทีเดียว
ในภาพรวมแล้ว แม้ว่า One Piece Fan Letter จะเป็นอนิเมะสั้นตอนเดียวจบ แต่ก็เป็นจดหมายยาว 24 นาทีที่ทำให้แฟนการ์ตูน One Piece อย่างเราอมยิ้มและอิ่มเอมไปกับเรื่องราวของกลุ่มคนตัวเล็กๆ แต่มีหัวใจอันยิ่งใหญ่อย่างเด็กสาวและทหารหนุ่มได้ไม่น้อย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขาคือกลุ่มคนธรรมดาที่เฝ้ามองการผจญภัยของกลุ่มหมวกฟางจากที่ไกลๆ เช่นเดียวกับผู้อ่าน จึงทำให้เรารู้สึกใกล้ชิดและเข้าอกเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาที่ได้รับบทเรียนและแรงบันดาลใจจากการผจญภัยของกลุ่มหมวกฟางมามากมายเช่นเดียวกัน
สามารถรับชม One Piece Fan Letter ได้แล้ววันนี้ทาง Netflix
ภาพ: Toei Animation
อ้างอิง: