×

World Cup Memo DAY 17: โค้งคำนับ เพื่อบอกว่า แล้วเราจะกลับมาใหม่

06.12.2022
  • LOADING...
World Cup Memo

HIGHLIGHTS

  • ภาพการโค้งของโมริยาสุนั้นดูเป็นการโค้งเพื่อขอโทษ แต่ในเวลาเดียวกันก็ขอบคุณกำลังใจจากทุกคนที่อยู่เคียงข้างกันมาโดยตลอด ซึ่งเป็นท่ายืนโค้งที่งดงามอย่างยิ่ง และเป็นการบอกลาฟุตบอลโลกครั้งนี้ของทีมชาติญี่ปุ่นได้อย่างสง่างาม
  • สีหน้า แววตา อาการของ ทาคุมิ มินามิโนะ มือสังหารคนแรกของญี่ปุ่นปิดความกังวลเอาไว้ไม่มิด เพราะถึงจะผ่านประสบการณ์ในการเล่นฟุตบอลระดับสูงสุดกับลิเวอร์พูลมา 2 ปีครึ่ง แต่ฟุตบอลโลกมันคืออีกระดับของความหมาย
  • หากบราซิลจะยิงมากกว่านี้ก็อาจทำได้ แต่ไม่ได้ทำ ขณะที่เกาหลีใต้ทำดีที่สุดคือการทำให้ อลิสสัน เบ็คเกอร์ ต้องออกแรงเซฟในระดับเวิลด์คลาสเป็นครั้งแรกของฟุตบอลโลกหนนี้ และสามารถทวงคืนได้ 1 ประตูด้วยจากการยิงไกลของ เพคซึงโฮ

ภาพการโค้งคำนับของ ฮาจิเมะ โมริยาสุ โค้ชทีมชาติญี่ปุ่นเพื่อขอบคุณแฟนฟุตบอลทีมซามูไรบลูที่เดินทางมาให้กำลังใจตลอดช่วงระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีความหมายที่ลึกซึ้งมากมายในนั้น

 

ตามธรรมเนียมของชาวญี่ปุ่นแล้วการโค้งนั้นเป็นการแสดงออกเพื่อให้เกียรติหรือการเคารพต่ออีกฝ่าย ซึ่งมีบันทึกว่าเป็นสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นทำมาต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ 500-800 ปีก่อนในช่วงที่พุทธศาสนาได้เผยแผ่มาถึงดินแดนอาทิตย์อุทัย

 

สิ่งที่คนภายนอกจะไม่รู้คือการโค้งของชาวญี่ปุ่นนั้นมีหลายระดับและมีหลักในการปฏิบัติ ไม่ใช่จะโค้งสุ่มสี่สุ่มห้า ถึงขั้นมีการเปิดสอนอย่างเป็นเรื่องเป็นราวด้วย


หลักใหญ่ใจความอยู่ที่ข้อห้าม 3 สิ่ง ได้แก่ ห้ามงอหลัง ห้ามงอขาและสะโพก ห้ามหายใจเข้าขณะก้มศีรษะและเมื่อกลับมาในท่าปกติก็ห้ามหายใจออกด้วย ผิดไปจากนี้ถือว่าผิด

 

ในการทักทายปกติคนญี่ปุ่นจะโค้งเล็กน้อยราว 15 องศา แต่หากเป็นการโค้ง 30 องศาซึ่งเรียกว่าการโค้งแบบ ‘เคเร’ มีความหมายถึงคำว่าขอบคุณ ซึ่งจะใช้เพื่อการต้อนรับหรือส่งแขก

 

ถ้าโค้งมากกว่านั้นในระดับ 45 องศา เรียกว่าการโค้งแบบ ‘ไซเคเร’ ที่ใช้เพื่อต้อนรับแขกคนสำคัญหรือโค้งให้แก่เจ้านายหรือพ่อแม่ในพิธีมงคลสมรส หรือเพื่อแสดงความเสียใจขอโทษอย่างสุดซึ้ง ซึ่งนอกจากโค้งแล้วยังต้องค้างในท่านี้ 3 วินาทีด้วยเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเคารพจากใจ

 

ส่วนการโค้งมากที่สุดคือการโค้ง 70 องศาที่เรียกว่า ‘ฉะไซ’ ที่เปรียบได้กับการขอขมาในท่ายืน จะทำต่อเมื่อกระทำผิดอย่างใหญ่หลวงเท่านั้น โดยจะต้องโค้งและค้างท่านี้เอาไว้ 4 วินาที

 

ภาพการโค้งของโมริยาสุนั้นดูเป็นการโค้งเพื่อขอโทษ แต่ในเวลาเดียวกันก็ขอบคุณกำลังใจจากทุกคนที่อยู่เคียงข้างกันมาโดยตลอด ซึ่งเป็นท่ายืนโค้งที่งดงามอย่างยิ่งและเป็นการบอกลาฟุตบอลโลกครั้งนี้ของทีมชาติญี่ปุ่นได้อย่างสง่างาม แม้ว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาจะยังก้าวข้ามกำแพงใหญ่ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายไปไม่ได้ก็ตาม

 

อย่างน้อยที่สุด ญี่ปุ่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาต่อสู้ได้อย่างน่าประทับใจตลอด 120 นาทีกับทีมมีดีกรีรองแชมป์โลกอย่างโครเอเชีย ซึ่งแม้เวลาผ่านมา 4 ปีจะร่วงโรยไปมาก แต่ประสบการณ์อันเคี่ยวกรำยังปรากฏเด่นชัดผ่านริ้วรอยบนใบหน้าของฮีโร่ผู้เกิดจากไฟสงครามอย่าง ลูกา โมดริช

 

ที่จริงแล้วญี่ปุ่นมีความหวังจะเข้ารอบแล้วด้วยเมื่อได้ประตูขึ้นนำก่อนจาก ไดเซน มาเอดะ อีกหนึ่งแนวรุกที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ทำประตูในฟุตบอลโลกหนนี้ เพียงแต่ อิวาน เปริซิช อีกหนึ่งหัวใจสำคัญของโครเอเชียยังเด็ดขาดมากพอที่จะโหม่งทำประตูตีเสมอในช่วงครึ่งหลัง

 

จนถึงช่วงของการดวลจุดโทษที่เห็นได้ชัดว่า ‘กำแพง’ นั้นยังสูงเกินกว่าจะปีนข้าม

 

World Cup Memo

ทาคุมิ มินามิโนะ หัวใจสลายหลังญี่ปุ่นพ่ายในการดวลจุดโทษ

 

สีหน้า แววตา อาการของ ทาคุมิ มินามิโนะ มือสังหารคนแรกของญี่ปุ่นปิดความกังวลเอาไว้ไม่มิด เพราะถึงจะผ่านประสบการณ์ในการเล่นฟุตบอลระดับสูงสุดกับลิเวอร์พูลมา 2 ปีครึ่ง แต่ฟุตบอลโลกมันคืออีกระดับของความหมาย

 

สูงกว่า ยากกว่า กดดันมากกว่า เพราะข้างหลังของมินามิโนะไม่ได้มีแค่เพื่อนร่วมทีม แต่คือชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศที่รออยู่

 

มินามิโนะพลาด แต่ไม่ใช่คนเดียวที่พลาด เพราะ คาโอรุ มิโตมะ กับ มายะ โยชิดะ ซึ่งล้วนเป็นนักฟุตบอลที่เล่นในพรีเมียร์ลีกก็พลาดเหมือนกัน

 

โครเอเชียที่จิตใจหนักแน่นกว่า ควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าจึงคู่ควรกับการเป็นผู้ชนะ

 

ในขณะที่ฝ่ายของเกาหลีใต้ อีกหนึ่งทีม ‘ตัวแทนหมู่บ้าน’ ไม่สามารถผ่านคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง – และบางทีอาจจะแข็งแกร่งที่สุดในฟุตบอลโลกหนนี้ – อย่างบราซิลได้เช่นกัน

 

เห็นใจต่อ ‘แทกุก วอร์ริเออร์ส’ ที่พวกเขาต้องเจอกับบราซิลชุดที่อาจจะดีที่สุดนับตั้งแต่ได้แชมป์ฟุตบอลโลก 2002 เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งวันนี้เหล่านักเตะเสื้อสีเหลือง ‘กานารินญา’ วาดลวดลายฟุตบอลได้อย่างเร้าใจ สมกับคำว่า ‘Joga Bonito’

 

จงเล่นฟุตบอลให้งดงาม

 

วินิซิอุส จูเนียร์ กับการหลอกยิงอย่างเหนือชั้นในประตูแรก สู่การยิงจุดโทษที่แสดงให้เห็นถึงระดับชั้นที่ห่างไกลในประตูที่ 2 ของเนย์มาร์ ก่อนที่ริชาร์ลิสันจะโชว์ลวดลายและประสานงานกับเพื่อนจนหลุดไปยิงประตูที่ 3 และปิดท้ายด้วยประตูของ ลูคัส ปาเกตา

 

หากบราซิลจะยิงมากกว่านี้ก็อาจทำได้ แต่ไม่ได้ทำ ขณะที่เกาหลีใต้ทำดีที่สุดคือการทำให้ อลิสสัน เบ็คเกอร์ ต้องออกแรงเซฟในระดับเวิลด์คลาสเป็นครั้งแรกของฟุตบอลโลกหนนี้ และสามารถทวงคืนได้ 1 ประตูด้วยจากการยิงไกลของ เพคซึงโฮ

 

แต่ก็ได้เท่านั้น ระยะห่างระหว่างสองทีมมันเหมือนโลกกับดวงจันทร์

 

ไกลเกินไป ได้แค่ฝัน

 

World Cup Memo

Super Sonny พยายามอย่างดีที่สุดแล้วในการพาเกาหลีใต้มาถึงจุดนี้

 

ในความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ยังเป็นการตอกย้ำซ้ำในเรื่อง ‘ขีดจำกัดทางสายเลือด’ ของเกมลูกหนัง

 

ตลอดมาฟุตบอลโลกลงแข่งขันกันมาทั้งหมด 22 ครั้ง ตั้งแต่ปี 1930 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 92 ปี มีทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันมากกว่า 200 ประเทศทั่วโลก แต่มีแชมป์ฟุตบอลโลกอยู่เพียงแค่ 8 ชาติเท่านั้น

 

ในจำนวน 8 ชาตินี้มาจาก 2 ทวีปคือ ยุโรป (เยอรมนี, อิตาลี, ฝรั่งเศส, อังกฤษ, สเปน) และลาตินอเมริกา (บราซิล, อาร์เจนตินา, อุรุกวัย) ไม่มีชาติจากทวีปอื่นที่ได้สัมผัสหรือแม้แต่เข้าใกล้กับโทรฟีใบนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

แม้แต่ชาติจากแอฟริกาที่มีเหล่าซูเปอร์สตาร์ที่เป็นขุมกำลังหลักในระดับสโมสรของลีกชั้นนำหลายแห่งทั่วยุโรป ชาติที่เดินทางมาได้ไกลที่สุดคือกานา ที่ถูกหยุดเอาไว้ที่รอบ 8 ทีมสุดท้ายของฟุตบอลโลก 2010 (ด้วย ‘หัตถ์ปีศาจ’​ ของ หลุยส์ ซัวเรซ)

 

เรื่องนี้จึงพอจะเป็นหลักฐานบ่งบอกได้ว่ามันมีเหตุผลบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ความสำเร็จกระจุกอยู่กับแค่เพียง 8 ชาติ

 

ขณะที่เด็กญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ลงเล่นฟุตบอลหลังเลิกเรียนในสนามหญ้าหรือสนามดินที่โรงเรียน เด็กบราซิลเล่นฟุตบอลตลอดเวลาอยู่ข้างถนนใน Favela โดยที่หากใครพอมีแววหน่อยก็จะพยายามต่อสู้ขัดเกลาตัวเองทุกอย่าง เพราะการเป็นนักฟุตบอลหมายถึงการพาตัวเองและครอบครัวออกมาจากชีวิตที่เหมือนตกนรกตรงนั้น

 

หรือฝรั่งเศสเต็มไปด้วยนักฟุตบอลที่อพยพมาจากชนชาติอื่นหรือเป็นชาติที่ถูกกวาดต้อนมาเช่นกัน ฟุตบอลคือเหตุผลที่จะทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีได้

 

อย่างไรก็ดี นั่นไม่ได้หมายความว่าญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้จะไม่มีวันสู้กับชาติพวกนี้ได้ เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็แสดงให้เห็นผ่านการล้มเยอรมนี สเปน และโปรตุเกส มาแล้ว

 

ความพ่ายแพ้ในวันนี้มีความหมายเท่ากับชัยชนะ เพราะการต่อสู้อย่างสุดหัวใจได้กลายเป็นพลังที่ถูกส่งต่อไปถึงทุกคนในชาติ

 

มันคือต้นไม้แห่งความหวังที่ถูกปลูกขึ้นแล้วในของผู้คน และมันจะนำไปสู่การพยายามครั้งต่อไปและต่อไปอีกเรื่อยๆ

 

จะมี ซนฮึงมิน คนใหม่ มี คาโอรุ มิโตมะ คนใหม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต

 

การโค้งคำนับในวันนี้จึงเป็นแค่การขอบคุณและบอกลา

 

พร้อมกับคำพูดในใจเบาๆ ว่า “แล้วเราจะกลับมาใหม่”

 

สักวันพระอาทิตย์ของโลกลูกหนังจะขึ้นทางฝั่งตะวันออก – จำคำนี้ไว้ให้ดี


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising