×

คู่มือมือใหม่หัดจิบ 10 คำศัพท์น่ารู้เสริมรสการจิบไวน์ให้อร่อยขึ้น ตอนที่ 2

24.11.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

3 Mins. Read
  • เตรียมกระดาษปากกาให้พร้อม แล้วไปเพิ่มคลังศัพท์สำหรับจิบไวน์กัน หาคำตอบว่าอะไรคือ ‘กรีน’ หรือไวน์จะมีสีเขียวกับเขาด้วย?
  • ก่อนพูดคำว่า “ไวน์นี้ฮอตมากๆ” แนะให้จิบไปเหลียวมองคนที่แอบชอบไป รับรองว่าไวน์แก้วนั้นจะอร่อยเกินคาด

 

เทศกาลเฉลิมฉลองเริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่คุณล่ะพร้อมหรือยัง? ก่อนออกตัวเซย์เยสไปร่วมงานเทศกาลต่างๆ ที่โผล่ขึ้นมาราวกับดอกเห็ด มาเก็บความรู้เรื่องเครื่องดื่มอย่างไวน์เพิ่มกันสักประเดี๋ยว รินคลังศัพท์ด้านไวน์เติมกันสักหน่อย เพื่อคนที่งานจะได้ร้อง ‘ว้าว!’ ทึ่งไปกับความรู้รอบมากภูมิของคุณ พร้อมแล้ว…เริ่ม!

 

 

ฟินิช (Finish)

เดี๋ยว…อย่าเพิ่งกระดกแก้ว! ฟินิชนี้ไม่ได้หมายถึงให้ซดจนหมดแก้วเสียหน่อย อย่าเข้าใจผิดเสียล่ะ คำนี้แท้จริงแล้วเป็นคำอธิบายถึงรสที่หลงเหลืออยู่หลังการดื่ม ซึ่งคล้ายกับ อาฟเตอร์เทสต์ (Aftertaste) โดยเป็นการรับรสเนื้อสัมผัสของไวน์ และรสชาติที่ทิ้งเอาไว้บนลิ้นและในปาก ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเมื่อกลืนไวน์เข้าไปแล้ว เป็นได้ทั้งรสชาติแสนจะประทับใจที่ประทับอยู่บนลิ้นยาวนาน (Great Finish หรือ Long Finish) หรือสั้นราวกับหนวดมด (Short Finish) ซึ่งไม่ใช่สัญลักษณ์ของไวน์ที่ดี แต่ยิ่งรสชาติติดค้างยาวหมื่นลี้ยิ่งดีใหญ่ ทีนี้หากยาวพอ เมื่อชอบใจก็ถึงเวลาพูดว่า ‘Great Finish’ ได้ แต่อย่าเพิ่งรีบพูดก่อนกลืนเสียล่ะ

 

 

ฟลอรัล (Floral)

เป็นเรื่องปกติที่ไวน์จะมีกลิ่นดอกไม้ผสมมาอยู่บ้าง เนื่องจากปัจจัยการผลิตทางธรรมชาติหลายๆ อย่าง เช่น ดิน ฟ้า อากาศ กระนั้นหาใช่ไวน์ทุกชนิดที่จะมีกลิ่นมาดามหอมชื่นใจจากมวลดอกไม้หรอกนะ แต่ไวน์จากองุ่นสายพันธุ์วิยกนิเย่ร์ (Viognier) องุ่นพันธุ์มัสแคต (Muscat) หรือที่ในออสเตรเลียเรียกว่ามอสกาโต (Moscato) นั้นให้กลิ่นหอมของดอกไม้ชัด นอกจากนั้นองุ่นพันธุ์มัสแคตยังให้รสชาติที่สดชื่น เบา และดื่มง่าย จากปริมาณแอลกอฮอล์ที่มักไม่สูงนักอีกด้วยนะ และหากตาไวเหลือบไปเห็นบนขวดว่าเป็นไวน์บอร์กโดซ์ (Bordeaux) จากเมืองปอเมอโรล (Pomerol ไม่ใช่ Pomelo ที่สาวๆ ซื้อกัน) หรือไวน์บอร์กโดซ์จากมาร์โกซ์ (Margaux) ก็มีแนวโน้มสูงเช่นกันที่ไวน์ที่คุณกำลังจิบจะมีกลิ่นอ่อนๆ ของดอกไม้ชวนรื่นรมย์

 

 

เฟรช (Fresh)

หากหมุนๆ แก้วแล้วเริ่มดมไวน์ (วิธีชิมไวน์ 101 ขอเชิญทางนี้) แล้วรู้สึกได้ถึงความสดชื่น หอมอ่อนๆ ตลอดจนรสชาติที่ชวนนึกว่าเกลือกกลิ้งอยู่บนทุ่งหญ้ารับสายลมโชยเย็นๆ ราวกับยืนอยู่ในเอ็มวีของเคที เพอร์รี คุณสามารถเอ่ยได้ว่า “ไวน์นี้เฟรช!” หรือ “ไวน์นี้สดชื่นดี” ซึ่งให้ผลตรงข้ามกับไวน์ที่สัมผัสได้ถึงความอับผ่านกลิ่นหรือรสชาติที่รู้สึกราวกับดิ่งลงไปในห้วงความหมองหม่นในห้องมืดในเพลงของลานา เดล เรย์ Feat. Evanescence ซึ่งนั่นอาจบอกว่าไวน์นั้นอาจเสียแล้วก็ได้ (ทำความรู้จักว่าไวน์คุณเสียหรือยังได้ที่นี่)

 

 

ฟรุตตี้ (Fruity)

ความชมพูฟรุตตี้นี้หาใช่ไวน์ลูกหว้า ไวน์กระเจี๊ยบ หรืออุเมะชูแบบญี่ปุ่นหรอกนะ คำนี้ใช้สื่อถึงไวน์ (องุ่น) ที่มีกลิ่นหรือรสของผลไม้ที่ชัดเจน ฟังดูอร่อย แต่คุณสมบัติของไวน์ชั้นดีนั้นควรมีมากกว่าแค่ความฟรุตตี้เท่านั้น

 

 

กรีน (Green)

นอกจากจะเป็นคำยอดฮิตใช้เรียกสนามกอล์ฟแล้ว คำว่า ‘กรีน’ ในแวดวงชาวไวน์นั้นใช้สื่อถึง ‘ไวน์เขียว’ ที่ไม่ได้สื่อถึงสี แต่เป็นไวน์ที่ทำจากองุ่นเขียวที่ยังไม่สุกงอมนั่นเอง เพราะกลิ่นความ ‘เขียว’ ที่จิบทีนึกว่าแอบจิบน้ำผักอยู่ก็ไม่เชิง คำนี้ใช้อธิบายถึงกลิ่นเป็นหลัก ระวังสับสนกับไวน์ออร์แกนิก ไวน์รักษ์โลก หรือไวน์ไบโอไดนามิกที่เรียกๆ กันว่า ‘Green Wine’ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน ทั้งนี้กลิ่นของไวน์นั้นส่วนหนึ่งมาจากความสุกขององุ่น ทั้งยังปริมาณแสงแดดที่ได้รับและภูมิอากาศเช่นกัน ส่วนไวน์ที่อาจมีกลิ่นเขียวและเป็นที่รู้จักกันคือ ซาวิญง บลอง ที่เป็นองุ่นที่โตในนิวซีแลนด์ อาจมีความ ‘กรีน’ เมื่อเทียบกับพันธุ์เดียวกันที่โตในอเมริกา ซึ่งอาจมีกลิ่นกล้วยผสมอยู่จางๆ มากกว่า

 

 

ฮอต (Hot)

“ไวน์นี้ฮอตมากๆ” แนะให้จิบไปเหลียวมองคนที่แอบชอบไปจะได้รสชาติอร่อยเกินคาด ว่าแต่ความฮอตนี้มาจากที่ใด? นักชิมไวน์มักใช้คำนี้ต่อเมื่อจิบไวน์แล้วรู้สึกร้อนวูบวาบในลำคอ (ไม่เกี่ยวกับอาหารเผ็ดหรือไวน์ที่มีรสเครื่องเทศเยอะที่เรียกว่าสไปซี่ (Spicy)) ความฮอตนี้เกิดจากประมาณแอลกอฮอล์ที่สูง ส่งผลให้เมื่อดื่มจะรู้สึกได้ถึงความร้อนของแอลกอฮอล์นั่นเอง

 

 

อินเทนซิตี้ (Intensity)

ช่างเป็นคำที่ฟังดูเครียดแท้ราวกับไปทะเลาะกับใครมา จะว่าไปก็ไม่ผิด เพราะในภาษาไวน์ใช้บ่งบอกถึงความหนักแน่นและเข้มข้นในรสชาติ เรียกง่ายๆ คือจิบแล้วรู้สึกเต็มปากเต็มคำไปด้วยรสชาตินานาสารพัด ประหนึ่งพายุแห่งน้ำองุ่นกำลังโหมอยู่ในปาก หรือแดเนริส ทาร์แกเรียน กำลังขี่มังกรขึ้นฟ้าเตรียมปล่อย ‘ดาคาริส’ ใส่กองทัพ ความเข้มข้นที่ว่ายังมักยั่วยวนด้วยกลิ่นหอมที่ฟุ้งอยู่คู่กัน ไวน์ประเภทนี้มักมีระดับแอลกอฮอล์ที่สูง และถือเป็นคำอธิบายถึงไวน์ในด้านบวก

 

 

ลีฟี (Leafy)

ถ้าเกิดไปงานชิมไวน์แล้วได้สนทนากับเจ้าของไวน์ อย่าได้ชมไวน์ของเขาว่า ‘ลีฟี’ เป็นดี เพราะคำนี้จัดอยู่ในจำพวกเดียวกับ ‘Green Wine’ หรือไวน์ที่มีรสหรือกลิ่นเขียวๆ ของพืช หรือกลิ่นต้นไม้ใบหญ้า หาใช่กลิ่นสมุนไพรเป็นตัวนำ ซึ่งอาจไม่ใช่คำดีนักที่จะชมไวน์ว่า “ไวน์ของคุณเหม็นเขียวจัง”

 

 

เลกส์ (Legs)

คำนี้เราคุ้นเคยกันดีในฐานะ ‘ขาไวน์’ แต่ไวน์จะมีขาเดินไปมาก็คงประหลาดแท้ (เว้นแต่คุณจะดื่มไปแล้วหลายแก้ว) คำนี้ใช้เรียกลักษณะของน้ำไวน์หลังจากแกว่งแก้วที่ค่อยๆ ไหลจากขอบแก้วลงสู่ก้นแก้ว นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่นักชิมไวน์มักเขย่าแก้วก่อนจะจิบยังไงล่ะ ขาของไวน์สามารถบอกได้ว่าไวน์นั้นมีน้ำตาลมากหรือน้อย ซึ่งหากไวน์อ้อยอิ่งมัวแต่แวะทักขอบแก้วจนไม่อยากลงที่ต่ำเท่าใดนัก ไวน์นั้นมักจะมีปริมาณน้ำตาลที่น้อย ขณะที่หากมีน้ำตาลมาก หยดไวน์จะไหลลงสู่ก้นแก้วอย่างรวดเร็ว ซึ่งต่อยอดคำถามหลังจากการสังเกตนี้ได้ว่า “ไวน์นี้โตในเขตร้อนหรือเปล่า?” คุณจะฟังดูเฉลียวฉลาดรู้เรื่องไวน์เป็นที่สุด เพราะอุณหภูมิที่ปลูกไวน์ก็มีส่วน อ่านได้ที่นี่

 

 

ไลฟ์ลีย์ (Lively)

ทันทีที่จิบไวน์แล้วรู้สึกต้องมนต์สะกดราวกับหลุดไปอยู่ในทุ่งหญ้าสีเขียวของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ชวนให้รู้สึกถึงความสดชื่นสดใหม่ในรสชาติและกลิ่น โดยมีรสเปรี้ยวจากกรดที่มีอยู่ในน้ำไวน์ตามธรรมชาติอย่างพอดิบพอดี คุณสามารถเรียกไวน์นี้ว่า ‘ไลฟ์ลีย์’  เรียกง่ายๆ คือความรู้สึกดีๆ จิบแล้วสดชื่น จิบได้เรื่อยๆ จนอาจยิ้มไม่หุบก็ได้


หากเสริมเติมคลังศัพท์กันแล้วยังงุนงงสงสัย แวะเข้าร้านไวน์ให้ซอมเมอลิเยร์ผู้สันทัดช่วยเลือกไวน์ดีๆ ให้สักขวด เผื่อคำตอบขอบคุณจะชัดเจนขึ้นก็ได้นะ ไม่ลองคงไม่รู้แน่ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้า…Cheers!

Photo: Thiencharas.w

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising