วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซีอีโอของบริษัท Berkshire Hathaway เป็นนักลงทุนที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ซึ่ง บิล จอร์จ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะผู้นำจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มองว่า กุญแจสำคัญที่ทำให้บัฟเฟตต์ประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้คือ การค้นพบ ‘จุดสมดุล’ ระหว่างการทำสิ่งที่ตัวเองถนัดและสิ่งที่ตัวเองรัก
การบรรลุความสมดุลดังกล่าวจะทำให้เราสามารถพึ่งพาจุดแข็งของตัวเองและรักษาแรงจูงใจได้ง่ายขึ้น จอร์จ ซึ่งเป็นอดีตซีอีโอของบริษัทอุปกรณ์การแพทย์ Medtronic กล่าวว่า “เพื่อประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง เพื่อทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ คุณต้องใช้จุดแข็งของคุณ คุณไม่สามารถแก้ไขจุดอ่อนของคุณได้” นอกจากนี้ แรงจูงใจก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะหากงานของคุณ “ไม่ทำให้คุณตื่นเต้น มันก็จะกลายเป็นเพียงการทำเพื่อฆ่าเวลา”
“ดังนั้นผมคิดว่าคุณต้องมีทั้งสองอย่างเพื่อประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง” เขากล่าว “คุณอาจผ่านไปได้ด้วยอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่คุณไม่สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างแท้จริง เว้นแต่คุณจะมีทั้งสองอย่าง”
จอร์จได้ศึกษาภาวะผู้นำของบัฟเฟตต์และการประชุมผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway ก่อนร่วมเขียนหนังสือ True North: Emerging Leader Edition ในปี 2022 โดยเขาและ แซค เคลย์ตัน ผู้เขียนร่วม ระบุว่า การค้นหาสิ่งที่ขับเคลื่อนคุณและสิ่งที่คุณสามารถมอบให้กับโลกได้ เป็นขั้นตอนแรกในการบรรลุระดับความตระหนักรู้ในตนเองแบบบัฟเฟตต์ ซึ่งอาจฟังดูง่าย แต่ทำได้ยาก
แรงจูงใจมี 2 ประเภท ได้แก่ แรงจูงใจภายนอก เช่น เงินเดือนที่น่าพอใจ และแรงจูงใจภายใน เช่น ความสุขในการทำงานที่ได้ช่วยเหลือผู้คนทุกวัน
ทั้งสองอย่างมีบทบาทสำคัญในการทำงานระยะยาว “ถ้าคุณมีแรงจูงใจเพียงแค่การทำเงินมากๆ มันจะหมดไปในตัวคุณ คุณจะพบว่าสิ่งต่างๆ ว่างเปล่า และคุณไม่มีความสุขอย่างที่คิด” จอร์จกล่าว
บัฟเฟตต์น่าจะมีแรงจูงใจภายนอกครบถ้วนแล้ว ด้วยวัย 93 ปี เขาเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 7 ของโลก ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 135,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4.93 ล้านล้านบาท) ตามข้อมูลของ Forbes
อย่างไรก็ตาม จอร์จกล่าวว่า แรงจูงใจภายในของบัฟเฟตต์นั่นคือ การแบ่งปันความรู้และความมั่งคั่งของเขากับผู้อื่น รวมถึงการอธิบายกลยุทธ์การลงทุนของเขาอย่างละเอียด และสัญญาว่าจะบริจาคทรัพย์สมบัติ 99% ให้กับการกุศล อาจเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนเขาอย่างแท้จริง
การเริ่มต้นที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้นสามารถเริ่มต้นได้ด้วยการค้นหาแรงจูงใจภายในและภายนอกของตัวคุณเอง จอร์จแนะนำว่า จุดเริ่มต้นที่เป็นไปได้คือการใช้เวลาสักครู่เพื่อสังเกตและเขียนรายการกิจกรรมและสิ่งที่คุณหลงใหล รวมถึงเป้าหมายที่คุณมีสำหรับตัวเอง
“ถามตัวเองว่าอะไรสำคัญสำหรับคุณและทำไมคุณถึงทำสิ่งที่คุณทำ” Indeed แพลตฟอร์มหางานแนะนำ “แรงจูงใจเหล่านี้อาจแตกต่างกันไป เช่น การหาเลี้ยงชีพ หรือการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสาขาหรืออุตสาหกรรม เมื่อคุณเข้าใจว่าทำไมคุณถึงต้องการทำบางสิ่งให้สำเร็จ คุณสามารถใช้สิ่งนี้เพื่อกระตุ้นตัวเองได้”
การหางานที่ทำให้คุณรู้สึกเติมเต็มเป็นเพียงจุดเริ่มต้น คุณต้องหาวิธีใช้จุดแข็งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณกับงานนั้นด้วย เพื่อที่คุณจะได้เก่งในงานนั้น
การวิเคราะห์ของ Gallup ในปี 2015 พบว่า ผู้เชี่ยวชาญที่ใช้จุดแข็งของตนเองทุกวันมีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมในที่ทำงานมากกว่าคนทั่วไปถึง 6 เท่า มีแนวโน้มที่จะรายงานว่ามีคุณภาพชีวิตที่ดีเยี่ยมมากกว่า 3 เท่า และมีประสิทธิผลมากกว่า 8%
จุดแข็งของบัฟเฟตต์ ได้แก่ การมีอิสระในการทำงาน หลีกเลี่ยงความผิดพลาด และการมองโลกในแง่ดี รวมถึงสายตาที่เฉียบแหลมในการลงทุนที่ดี ซึ่งเขาเริ่มฝึกฝนตั้งแต่อายุ 11 ขวบ บัฟเฟตต์ยัง ‘ไม่ค่อยใส่ใจ’ กับการบริหารจัดการแบบลงมือปฏิบัติจริง และไม่ชอบปล่อยให้พนักงานออกหรือบอกคนอื่นว่าต้องทำอะไร
การรู้จักจุดอ่อนของตัวเองช่วยให้บัฟเฟตต์สร้างทีมผู้บริหารที่สามารถช่วยเหลือในด้านเหล่านั้นได้ ทำให้เขามุ่งเน้นไปที่สิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุด จอร์จกล่าว หากคุณไม่ใช่เจ้านาย คุณยังสามารถระบุช่วงเวลาที่จุดอ่อนของคุณปรากฏออกมา ฝึกฝนให้ดีขึ้น และให้โอกาสตัวเองเมื่อเจออุปสรรค
ในทำนองเดียวกัน คุณสามารถปรับตัวเข้ากับจุดแข็งของคุณได้โดยขอคำติชมจากผู้จัดการของคุณ และใส่ใจกับช่วงเวลาที่คุณมีประสิทธิผลมากที่สุด โดยจดบันทึกงานที่คุณทำในขณะนั้น ยิ่งคุณเรียนรู้มากเท่าไร คุณก็ยิ่งสามารถคว้าโอกาสและโครงการที่สอดคล้องกับความสามารถของคุณได้มากขึ้นเท่านั้น
ภาพ: Spencer Platt / Getty Images
อ้างอิง: