×

คุยกับ วี-วิโอเลต วอเทียร์ สาวร่างเล็กที่มองสุขภาพเป็นเรื่องใหญ่

12.02.2021
  • LOADING...
คุยกับ วี-วิโอเลต วอเทียร์ สาวร่างเล็กที่มองสุขภาพเป็นเรื่องใหญ่

HIGHLIGHTS

3 Mins. Read
  • THE STANDARD POP พูดคุยกับวีผ่านแง่มุมชีวิตตั้งแต่วัยเด็กจนเติบโต บางช่วงชีวิตเธอต้องเจอกับเรื่องใหญ่ๆ ด้านสุขภาพ แต่ก็ก้าวผ่านมันมาได้อย่างสวยงาม เชื่อว่าบางแง่มุมจะชวนให้ผู้อ่านได้ตระหนักถึงความสำคัญเรื่องสุขภาพของตัวเองมากขึ้น 

นานๆ ทีจะได้มีโอกาสคุยกับศิลปินสาวร่างเล็ก วี-วิโอเลต วอเทียร์ เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพกันบ้าง ใครจะรู้ว่าเธอเคยผ่าตัดกระดูกหลังในวัยเพียง 14 ปี แม้ครั้งนั้นเธอจะยังเด็กและแทบไม่รู้สึกกลัว แต่เมื่อเติบโตขึ้นก็ค้นพบว่าสุขภาพคือเรื่องใหญ่ของชีวิตที่ต้องดูแลอย่างเอาใจใส่ ควบคู่ไปกับการตั้งใจทำงานที่ตัวเองรัก เพราะหากทั้งสองอย่างถูกขับเคลื่อนไปได้ด้วยดี ความสุขของการใช้ชีวิตประจำวันก็เกิดขึ้นได้และยั่งยืน THE STANDARD POP รวบรวมการพูดคุยกับวีมาฝากผู้อ่านทุกคน ซึ่งบางแง่มุมในชีวิตของเธออาจชวนให้ผู้อ่านได้ตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพอย่างใส่ใจมากขึ้น

 



วัยเด็กของวี

จำประโยคที่แม่พูดเกี่ยวกับวีในวัยเด็กได้ว่า “เลี้ยงไปเลี้ยงมา โยนๆ อะไรให้กินก็โต” (หัวเราะ) คือเหมือนกับวีเป็นเด็กที่ไม่เกี่ยงเรื่องการกิน สามารถกินอาหารได้ทุกอย่างเลย วีจะไม่ได้เป็นเด็กที่แบบไม่เอาผัก ไม่กินผัก คือวีกินได้หมดทุกอย่าง ด้วยความที่ที่บ้านวี เวลาพ่อลงมือทำอาหารก็มักจะเป็นอาหารฝรั่ง ส่วนแม่เวลาทำอาหารก็จะทำอาหารไทย โดยเฉพาะอาหารอีสาน ทำให้วีกินปลาร้าและกะปิเป็นตั้งแต่เด็กๆ วีเลยเติบโตมากับอาหารที่หลากหลายและกินได้ทุกอย่าง ซึ่งตัววีเองไม่ได้เป็นคนที่มีนิสัยกินจุกจิกระหว่างวัน ทำให้ตั้งแต่เด็กจนโตเป็นคนที่ตัวเล็กมาตลอด

 

เผชิญหน้ากับความเจ็บป่วยครั้งแรกตอนอายุ 14 ปี

ทุกวันนี้วีเป็นคนที่ไม่ค่อยป่วยเลยนะ แต่ถ้าย้อนกลับไปจะมีอยู่ครั้งเดียวที่เข้าโรงพยาบาลเพราะต้องผ่าตัดกระดูกหลังที่มันคด แล้วมาตรวจเจอตอนอายุ 11 ปี ก็พยายามใส่เฝือกตัวอยู่พักใหญ่ๆ เลย แล้วตอนนั้นร่างกายเริ่มเติบโต การใส่เฝือกตัวเพื่อช่วยพยุงหลังเริ่มไม่เวิร์ก ก็เลยตัดสินใจผ่าตัดไปเลยดีกว่าแล้วก็เอาเหล็กดาม ซึ่งตอนนั้นวีอายุ 14 ปีเอง ซึ่งหลังผ่าตัดเหมือนร่างกายต้องใส่เลือดประมาณ 4-5 ถุงเลย หลังจากนั้นก็จะป่วยง่ายอยู่ราวๆ 3-4 ปี ถามว่าตอนนั้นวีกลัวไหมกับการที่อายุ 14 แล้วต้องเข้าผ่าตัด ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ บอกตรงๆ ว่าวีไม่ได้กลัวเลย อาจจะเพราะยังเด็กด้วย แล้วก็ไม่ได้มีความรู้ด้วยว่ามันน่ากลัวขนาดไหน ตอนนั้นวีคิดแค่ว่าคนเป็นหมอเขาผ่าตัดคนมาเยอะมากแล้ว คงไม่มีปัญหาหรอก 

 

ก่อนผ่าตัดจะมีช่วงที่ต้องไปหาหมอ ไปปรึกษากับหลายๆ โรงพยาบาลเหมือนกันว่าแต่ละแห่งมีวิธีการรักษาอย่างไร แล้วมีอยู่โรงพยาบาลหนึ่งที่วีไปมา พอคุยกับหมอเสร็จ วีเดินออกมาจากห้องตรวจแล้วพูดกับแม่ว่า “หนูจะไม่ผ่าที่นี่ หนูจะไม่ผ่ากับหมอคนนี้เด็ดขาด เพราะเขาถามว่าหนูอยู่โรงเรียนอะไร 3 รอบ” คือเราก็กลัวว่าเขาจะลืมอุปกรณ์ผ่าตัดต่างๆ ไว้ในหลังเราหรือเปล่า (หัวเราะ) 

 

 

อาชีพที่วีรักคืออาชีพที่ห้ามป่วย

ทุกวันนี้ถ้าต้องประเมินตัวเองเรื่องความใส่ใจสุขภาพ วีถือว่าตัวเองเป็นคนใส่ใจสุขภาพพอสมควร เพราะด้วยอาชีพของวีที่ต้องร้องเพลง วีจะป่วยไม่ได้ มันจะกระทบกับงานทันที เพราะถ้าป่วยวีก็ต้องยกเลิกงานโชว์ แล้วมีทีมงานอีกหลายคนที่จะได้รับผลกระทบไปด้วย หลักๆ คืออย่างนั้นเลย วีจึงรู้สึกว่าตัวเองต้องฟิตอยู่ตลอด เพราะถ้าร่างกายไม่ฟิต วีจะคุมโชว์ไม่อยู่แน่ๆ ตลอด 1 ชั่วโมงนั้น เพราะวีต้องร้อง ต้องกระโดด ต้องเคลื่อนไหวร่างกาย ต้องคุมเสียงตัวเองให้อยู่ มันก็เป็นการดูแลสุขภาพร่างกายให้ดีแหละ นอกจากเรื่องความฟิตแล้ว สิ่งที่ต้องดูแลให้ดีเช่นกันคือเรื่องของผิวหน้าที่ต้องไม่ดูโทรมหรือหมองคล้ำ

 

การนอน หนึ่งในเรื่องสำคัญของวี

การนอนสำคัญมากสำหรับวี ซึ่งวีก็จะต้องออกแบบการนอนของตัวเองให้เพียงพอ อย่างช่วงไหนที่ต้องไปออกกองถ่ายเช้า เลิกดึก พอกลับถึงบ้านก็รีบนอนเลย มันก็แค่นั้นเอง ต้องนอนให้เพียงพอและเต็มอิ่ม สมมติถ้าเป็นช่วงคอนเสิร์ตที่เลิกดึกมากๆ บางทีโชว์เริ่มห้าทุ่ม เที่ยงคืน กว่าจะเลิกก็ตีสอง มันเลยต้องให้ความสำคัญกับการพักผ่อนหลังจากการทำงาน แต่วีเป็นคนโชคดีที่นอนง่าย หลับง่ายมาก 

 

 

เมื่อต้องเผชิญกับความเครียดด้านจิตใจ

วีเป็นคนอึดประมาณหนึ่งเลย ที่ผ่านมานอกจากช่วงอายุ 14 ปีที่ต้องผ่าตัดตอนนั้น วีก็ไม่ได้ป่วยอีกเลย ปัญหาสุขภาพหลักๆ ของวีส่วนมากจะเป็นเรื่องของความเหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลียจากการทำงานมากกว่า ซึ่งวันไหนเหนื่อยมากๆ ก็จะงอแงบ้าง แต่สุดท้ายมันก็กลับมาที่การนอนหลับพักผ่อนนั่นแหละ แต่ถ้าเป็นเรื่องความเครียดมันก็แล้วแต่เรื่อง ถ้าสมมติเรื่องมันเครียดมาก วีจะชอบคิดวนเวียนอยู่อย่างนั้น วนอยู่นานจนกว่าจะหาคำตอบให้ตัวเองได้ ถึงจะก้าวออกจากความเครียดตรงนั้นได้ 

 

บ้านปู่ย่าที่ฝรั่งเศสคือที่ที่สามารถเยียวยาได้ดีที่สุด

เวลาวีได้กลับไปบ้านปู่กับย่าที่ฝรั่งเศส มันคือช่วงเวลาที่วีได้เยียวยาทุกอย่างแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะอาหารการกินดีมาก การไปอยู่ที่นั่นมันเหมือนได้ไปเพื่อพักผ่อนจริงๆ เพราะบ้านปู่กับย่าที่ฝรั่งเศสเป็นฟาร์ม อยู่กับธรรมชาติ ชิลมาก คือถ้าไม่ติดช่วงโควิด-19 ก็จะไปทุกปี เพราะว่าปู่กับย่าของวียังอยู่ วีก็อยากไปเจอเขาบ่อยๆ ทุกครั้งที่ไปมันก็เหมือนได้พักผ่อน ได้พลังงานดีๆ กลับมาด้วย 

 

 

พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากสถานการณ์โควิด-19

ตั้งแต่มีเหตุการณ์โควิด-19 วีจะระมัดระวังมากๆ เรื่องการใช้มือ จะหลีกเลี่ยงการจับสิ่งของทุกอย่าง ต้องยอมรับว่าแต่ก่อนจะนิสัยไม่ดีตรงที่ไม่ชอบล้างมือ เพราะรู้สึกว่าไม่อยากให้มือตัวเองเปียก ก็เลยเป็นคนที่พยายามหลีกเลี่ยงการจับสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน แต่ตอนนี้คือยิ่งหลีกเลี่ยงการจับสิ่งของต่างๆ นานามากกว่าเดิม และเริ่มพกเจลล้างมือติดตัวตลอดเวลา

 

การดูแลผิวในแบบของวี

วีจะใช้สกินแคร์ประมาณ 3-4 ตัว ตอนเช้าอาจจะใช้สัก 3 ตัว ล้างหน้า บำรุงผิว กันแดด ตอนกลางคืนก็จะประมาณนี้ ใช้ประมาณ 3-4 ตัว หลักๆ คือพยายามล้างหน้าให้สะอาดก่อนนอนและเน้นบำรุงผิวไม่ให้ผิวแห้ง จริงๆ วีจะชอบดื่มน้ำเยอะๆ ด้วยค่ะ นิสัยที่ไม่ดีของตัวเองที่อยากจะแก้ไขคือบางทีกลับบ้านมาเหนื่อยก็จะหลับไปเลย (หัวเราะ) ลุกไม่ไหว ตื่นไปล้างหน้าไม่ไหว พอตื่นเช้ามาก็จะโกรธตัวเองมากๆ ว่าอีกนิดเดียวเอง แค่เดินไปล้างหน้าทาครีมเอง แต่ก็ทำไม่ได้ ซึ่งก็จะพยายามแก้ไขตรงนี้ให้ได้ค่ะ 

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising