ค่าเลี้ยงดูเด็กในสหรัฐอเมริกาพุ่งทะยานขึ้นอย่างน่าตกใจในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลให้ครอบครัวส่วนใหญ่ต้องทุ่มเงินถึง 1 ใน 4 ของรายได้ต่อปีเพื่อใช้จ่ายในส่วนนี้
ซ้ำร้ายสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อเงินสนับสนุนจากรัฐบาลกลางและมาตรการช่วยเหลือช่วงโควิดหมดลง ทำให้ผู้ให้บริการหลายรายต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด อีกทั้งครอบครัวต่างๆ หาบริการดูแลเด็กราคาไม่แพงได้ยากยิ่งขึ้น
ตามมาตรฐานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ครอบครัวควรใช้จ่ายเพียง 7% ของรายได้ต่อปีสำหรับค่าดูแลบุตร แต่การวิเคราะห์ล่าสุดของ National Women’s Law Center (NWLC) กลับพบว่าในปี 2025 ค่าดูแลเด็กทารกเฉลี่ยอยู่ที่ 12,655 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 4.3 แสนบาท) ซึ่งหากจะให้ค่าใช้จ่ายนี้อยู่ในเกณฑ์ 7% ครอบครัวจะต้องมีรายได้สูงถึง 1.8 แสนดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 6.1 ล้านบาท)
สถานการณ์ยิ่งหนักหน่วงในรัฐที่มีค่าครองชีพสูงอย่างแคลิฟอร์เนียและนิวยอร์ก เพราะครอบครัวต้องมีรายได้มากถึง 2.5 แสนดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 8.5 ล้านบาท) เพื่อให้ค่าดูแลเด็กอยู่ในระดับที่จ่ายได้ตามเกณฑ์ 7% โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กทารกและเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุด
การวิเคราะห์ของ NWLC บ่งชี้ว่า ตามมาตรฐานความสามารถในการจ่ายเงินที่กำหนดโดยกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (HHS) การดูแลเด็กอยู่นอกเหนือการเอื้อมถึงของครอบครัวในทุกรัฐทั่วสหรัฐอเมริกา
ในเซาท์ดาโคตา ซึ่งเป็นรัฐที่ค่าดูแลต่ำกว่าค่าเฉลี่ย รายได้ต่อปีของครอบครัวยังต้องอยู่ที่เกือบ 9.8 หมื่นดอลลาร์ (ประมาณ 3.2 ล้านบาท)
ส่วนอีกด้านหนึ่งในภูมิภาคต่างๆ เช่น วอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งครอบครัวต้องมีรายได้ 3.3 แสนดอลลาร์ (ประมาณ 11.2 ล้านบาท) ต่อปี เพื่อให้สามารถจ่ายค่าดูแลเด็กหนึ่งคนได้อย่างสบายๆ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเด็กย้ำมาตลอดว่าการแก้ปัญหาค่าบริการที่พุ่งสูงขึ้นนี้จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เนื่องจากต้นทุนหลักคือค่าจ้างผู้ดูแลเด็กที่มีราคาสูง ศูนย์ดูแลเด็กจึงไม่สามารถลดค่าบริการให้ถูกลงได้หากไม่มีเงินสนับสนุนจากรัฐบาล
สถานการณ์ยิ่งน่าเป็นห่วงเมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอให้ระงับการจ่ายเงินสนับสนุนโครงการ Head Start ที่ช่วยเหลือครอบครัวผู้มีรายได้น้อย แม้ว่าจะถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ก็ส่งผลกระทบต่อผู้ให้บริการหลายราย
“เราไม่สามารถจ่ายเงินเดือนพนักงานได้ และต้องปิดให้บริการชั่วคราว” ผู้ประกอบการรายหนึ่งกล่าว ขณะที่ National Head Start Association รายงานว่าหากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น เด็กและครอบครัวกว่า 20,000 ราย อาจได้รับผลกระทบ
จากประวัติการทำงานของทรัมป์ที่ผ่านมา มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการตัดงบประมาณสนับสนุนเพิ่มเติม แทนที่จะเพิ่มการช่วยเหลืออุตสาหกรรมการดูแลเด็กที่กำลังต้องการอย่างมาก
ภาพ: PeopleImages.com – Yuri A / Shutterstock
อ้างอิง: