Unilever ยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าอุปโภคและบริโภคยักษ์ใหญ่ของโลก มีแผนที่จะนำคำว่า Normal หรือปกติ ออกจากบรรจุภัณฑ์และการโฆษณาของแบรนด์ความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลทั้งหมด โดยเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ด้านความงามเชิงบวกแบบใหม่
การตัดสินใจส่วนหนึ่งมาจากผลการสำรวจของ Unilever ทั่วโลก เกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้คนในอุตสาหกรรมความงาม การสำรวจซึ่งจัดทำขึ้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมาพบว่า การใช้คำว่า ‘ปกติ’ ในการอธิบายเส้นผมหรือผิวหนัง ทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกถูกกีดกัน
การศึกษากลุ่มตัวอย่าง 10,000 คน โดยมุ่งเน้นไปที่ 9 ประเทศ ได้แก่ บราซิล จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ไนจีเรีย ซาอุดีอาระเบีย แอฟริกาใต้ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา พบว่า 56% ของผู้คน คิดว่าอุตสาหกรรมความงามและการดูแลส่วนบุคคลสามารถทำให้ผู้คนรู้สึกถูกกีดกันได้
7 ใน 10 คนกล่าวว่า คำว่า ‘ปกติ’ บนบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์และการโฆษณามีผลกระทบในทางลบและสำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 18-35 ปี ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 8 ใน 10
การวิจัยยังแสดงให้เห็นว่า 69% ของผู้คนกล่าวว่า พวกเขาจะแนะนำแบรนด์ความงามให้กับเพื่อนและครอบครัวของพวกเขา หากตอบสนองความต้องการของผิวและเส้นผมที่หลากหลาย ครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า พวกเขาจะจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
การสำรวจให้ความสำคัญกับประเด็นอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ผู้ตอบแบบสอบถาม 74% กล่าวว่า พวกเขาต้องการเห็นอุตสาหกรรมความงามและการดูแลส่วนบุคคลมุ่งเน้นไปที่การทำให้ผู้คนรู้สึกดีขึ้นมากกว่าแค่ดูดี นอกจากนี้ มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า ตอนนี้พวกเขาให้ความสำคัญกับจุดยืนของบริษัทเกี่ยวกับประเด็นทางสังคมก่อนที่จะซื้อผลิตภัณฑ์
“เรารู้ดีว่าการเอาคำว่า ‘ปกติ’ ออกไปเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ แต่เราเชื่อว่านี่เป็นก้าวสำคัญสู่นิยามความงามที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น” ซันนี่ เชน (Sunny Jain) ประธานแผนกความงามและการดูแลส่วนบุคคลของ Unilever กล่าวกับ Reuters
ต่อไปสินค้าภายใต้เครือ Unilever กว่า 100 แบรนด์ทั่วโลก จะนำคำว่า ‘ปกติ’ ออกจากคำอธิบายประเภทผิวหรือลักษณะเส้นผม และแทนที่ด้วยคำเช่น ‘ผมหงอก’ สำหรับแชมพู หรือ ‘เติมความชุ่มชื้น’ สำหรับครีมบำรุงผิว ภายในเดือนมีนาคมปี 2022
ขณะเดียวกัน นอกเหนือจากการนำคำว่า ‘ปกติ’ ออกแล้ว Unilever ยังระบุอีกว่า จะหยุดการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ขนาด สัดส่วน และโทนสีผิวของนางแบบที่ใช้ในโฆษณาของตัวเอง ตลอดจน ‘อินฟลูเอนเซอร์’ ที่ได้รับค่าตอบแทนจากทุกแบรนด์ ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวได้เริ่มต้นด้วยแบรนด์ Dove ในปี 2018 แล้ว
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง:
