สหประชาชาติ (UN) ออกแถลงการณ์บนเว็บไซต์ แสดงความกังวลต่อสถานการณ์การเมืองในเมียนมา หลังกองทัพประกาศยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนของพรรคสันนิบาตชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) พร้อมถ่ายโอนอำนาจฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการมาสู่มือกองทัพ
แถลงการณ์ระบุว่า ความเคลื่อนไหวของกองทัพเมียนมาสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อการปฏิรูประบอบประชาธิปไตยในเมียนมา หลังทหารได้ควบคุมตัว ออง ซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ (ผู้นำทางพฤตินัย) รวมถึงประธานาธิบดีวิน มินต์ และผู้นำในรัฐบาลอีกหลายคน จากนั้นได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศเป็นเวลา 1 ปี โดยอ้างว่าเพื่อปกป้องรัฐธรรมนูญ หลังกล่าวหาว่าการเลือกตั้งทั่วไปในเมียนมาเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วมีการทุจริต
ขณะที่ วอลคาน บอสคีร์ ประธานสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ก็ได้ทวีตข้อความในทวิตเตอร์แสดงความกังวลเช่นกันว่า “ความพยายามในการบ่อนทำลายประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้” พร้อมเรียกร้องให้เมียนมาปล่อยตัวผู้นำทางการเมืองทันที
ผลการเลือกตั้งใหญ่เมื่อปลายปีที่แล้วเป็นพรรค NLD ที่คว้าชัยชนะอย่างถล่มทลายด้วยจำนวนที่นั่งในรัฐสภามากกว่า 80% แต่กองทัพและพรรคการเมืองบางพรรคไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ขณะที่กองทัพเรียกร้องให้มีการตรวจสอบข้อกล่าวหาทุจริต และต้องการให้ กกต. ส่งเอกสารเกี่ยวกับการเลือกตั้งให้กองทัพตรวจสอบ
การยึดอำนาจครั้งนี้มีขึ้นไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่สมาชิกรัฐสภาชุดใหม่จะเปิดสมัยประชุมอย่างเป็นทางการในวันนี้ (1 กุมภาพันธ์)
ในแถลงการณ์ของ UN อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการ UN ยังเรียกร้องให้ผู้นำกองทัพเมียนมาเคารพต่อเจตจำนงของประชาชน ยึดมั่นในบรรทัดฐานประชาธิปไตย และแก้ไขความขัดแย้งผ่านการพูดคุยอย่างสันติ
“การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2020 เป็นการมอบอำนาจที่แข็งแกร่งให้กับพรรค NLD สะท้อนเจตจำนงที่ชัดเจนของประชาชนเมียนมาในการเดินหน้าบนเส้นทางการปฏิรูประบอบประชาธิปไตยที่ได้มาด้วยความยากลำบาก” แถลงการณ์ระบุ
“ผู้นำทุกคนต้องทำเพื่อผลประโยชน์ของการปฏิรูปประชาธิปไตยของเมียนมา โดยมีส่วนร่วมในการพูดคุยที่มีความหมาย ละเว้นการใช้ความรุนแรง และให้ความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานอย่างเต็มที่”
กูเตอร์เรสยังย้ำอีกครั้งว่าสหประชาชาติให้การสนับสนุนประชาชนเมียนมาในการแสวงหาประชาธิปไตย สันติภาพ สิทธิมนุษยชน และหลักนิติธรรม”
ภาพ: Michael Sohn / Pool / AFP
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: