เมื่อพูดถึงเรื่องของ ‘การเงิน’ สิ่งที่เรานึกถึงมักเป็น‘มูลค่า’ และ ‘อำนาจ’ ของมัน แต่สิ่งสำคัญอีกหนึ่งเรื่องที่มักหลงลืมไปในอุตสาหกรรมการเงิน นั่นคือ ‘ความโปร่งใส’ ที่ปัจจุบันเกิดปัญหาการฉ้อโกงและหลอกลวงที่ไม่คาดคิดจากสถาบันการเงินที่ขาดความโปร่งใส
นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเวที TrustFinance Vision Bangkok 2025 ที่มุ่งมั่นจะสร้างองค์ความรู้ในการยกระดับของอุตสาหกรรมการเงินในประเทศไทยในด้านความโปร่งใส ความไว้วางใจ และความน่าเชื่อถือ โดยเวทีนี้จะได้พบกับเซสชันผู้นำด้านอุตสาหกรรมการเงิน นวัตกรรม และเทคโนโลยีการเงิน ที่มาเปิดเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้สำคัญ เปิดมุมมอง และแนะแนวทางที่จะยกระดับมาตรฐานการเงินของประเทศไทยให้โปร่งใส เปิดทางสู่การพัฒนาสู่อุตสาหกรรมการเงินระดับโลก
THE STANDARD WEALTH เก็บไอเดียสำคัญถึงการเจาะลึกความโปร่งใสในอุตสาหกรรมการเงินประเทศไทย มีอะไรที่ยังต้องปรับปรุง มีอะไรที่พัฒนาต่อได้
รู้จัก TrustFinance ยกระดับความโปร่งใสทางการเงิน
TrustFinance เป็นแพลตฟอร์มรีวิวและศูนย์รวมข้อมูลที่จะเป็นเครื่องมืออันแข็งแกร่งให้บริษัททางการเงิน
TrustFinance ก่อตั้งขึ้นในปี 2022 มีพันธกิจและวิสัยทัศน์มุ่งเน้นความโปร่งใสแก่อุตสาหกรรมการเงิน สถาบันเงิน และธนาคารในประเทศไทย เช่น Forex, Crypto, Banking, InsurTech และบริการทางการเงินอื่นๆ ตามสโลแกน ‘Your Financial Trustmark’
TrustFinance มีจุดเด่นมากมายที่จะช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนให้แก่อุตสาหกรรมทางการเงิน
- แพลตฟอร์มมีความเป็นกลาง
- ข้อมูลที่นำเสนอสามารถตรวจสอบได้
- เปิดช่องทางและโอกาสให้ผู้บริโภครีวิวเพื่อเป็นประโยชน์กับผู้อื่นได้อย่างอิสระ
- บริษัททางการเงินสามารถรับรู้ฟีดแบ็กได้โดยตรง
TrustFinance ช่วยให้บริษัททางการเงินได้แต้มต่อในการได้รับฟีดแบ็กอย่างรวดเร็วเพื่อนำไปปรับใช้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และกลยุทธ์ธุรกิจได้โดยตรง ทั้งยังช่วยให้บริษัทจัดการชื่อเสียงหรือ Online Reputation Management อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของบริษัท
ปัจจุบัน TrustFinance เป็นบริษัทที่มี Impression จากบริษัท
- Get Seen เปิดพื้นที่ให้ผู้บริโภคได้เห็นแบรนด์การเงินมากขึ้น
- Get Better พัฒนาแบรนด์จากการได้รับฟีดแบ็กโดยตรง
- Get Customer ได้ลูกค้ามากขึ้นจากการพัฒนาจนฟีดแบ็กกลายเป็นบวก
TrustFinance ให้ประสบการณ์ทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งฝั่งผู้บริโภคและธุรกิจ โดยฝั่งผู้บริโภคจะสามารถแบ่งปันประสบการณ์จากแบรนด์การเงินให้แก่กันและกัน และฝั่งธุรกิจจะได้รับฟีดแบ็กเพื่อไปพัฒนาแบรนด์อย่างรวดเร็ว
Financial Trustmark กับวิสัยทัศน์ของโลกการเงินที่ไร้การฉ้อโกง
Peter Bu, Chief Executive Officer ของ TrustFinance กล่าวว่า วิสัยทัศน์ในการเป็น ‘Financial Trustmark’ เพื่อสร้างความโปร่งใสในข้อมูลและความไว้วางใจระหว่างผู้บริโภคและบริษัทการเงิน โดยมุ่งเน้นการเป็นแพลตฟอร์มที่เป็นกลาง สนับสนุนความร่วมมือระหว่างองค์กรต่างๆ และผลักดันมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมการเงินระดับโลก
Peter Bu, Chief Executive Officer ของ TrustFinance
Peter Bu กล่าวว่า TrustFinance เกิดขึ้นจากการที่ครอบครัวของเขาพบการหลอกลวงเรื่องการลงทุนจากบุคคลหรือบริษัทที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ นั่นทำให้เกิดเป็นวิสัยทัศน์บริษัทว่า ‘No Fraud, No Scam’ โลกที่ปราศจากการฉ้อโกงและหลอกลวงในโลกของการเงินทั่วโลก ‘Trust, Transparency, Tools’ โดยสร้างแพลตฟอร์มที่มีเทคโนโลยีที่สร้างระบบการรีวิวความน่าเชื่อถือของธุรกิจการเงินได้
ความโปร่งใสทางการเงินเปิดโอกาสทางธุรกิจ
Nasri Mohammed Aymen, Sales Director ของ TrustFinance กล่าวจากประสบการณ์ว่า มีบริษัทหนึ่งซึ่งมีส่วนประกอบและปัจจัยในการเติบโตที่ดีมาก แต่ผู้บริโภคยังไม่มั่นใจและไม่เชื่อใจในบริษัท
Nasri Mohammed Aymen, Sales Director ของ TrustFinance
นั่นทำให้ TrustFinance ตัดสินใจสร้างฟีเจอร์ License Verification ติดใน Badge ให้กับบริษัทเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้บริษัทนั้นๆ ต่อผู้บริโภค ฟีเจอร์นี้ทำให้ TrustFinance มีการเข้าชมเว็บเพจมากขึ้น 67% ทำให้แบรนด์ได้รับการรับรู้มากขึ้น เป็นการยืนยันได้ว่าการสร้างความโปร่งใสของธุรกิจจะยิ่งทำให้แบรนด์มีโอกาสเติบโต
นอกจากนี้ความน่าเชื่อถือของบริษัทก็จะได้รับการปกป้องจากฟีดแบ็กที่เกิดจากความเกลียดชัง การรีวิวกลั่นแกล้ง การสแกม และอื่นๆ ด้วยความสามารถของ AI ที่สามารถตรวจจับฟีดแบ็กและรีวิวที่ไม่มีคุณภาพออกไปได้ รวมถึงการมีแดชบอร์ดในการตรวจจับ ตอบกลับ และการจัดการรีวิวได้ทันท่วงทีเพื่อเสริมสร้างความเป็นมืออาชีพของธุรกิจของคุณ
อุตสาหกรรมการเงินดิจิทัลต้องปลอดภัย
Kenneth James Berey, Co-founder และ Chief Executive Officer ของ ConnectWeb3 ฉายภาพให้เห็นว่าระบบการเงินบนโลกนี้มีการพัฒนากว่า 1,000 ปี ตั้งแต่การแลกเปลี่ยนธรรมดา ยุคเงินเฟียต (Fiat) แต่ปัจจุบันการเงินกำลังเข้าสู่ยุคของดิจิทัลบนบล็อกเชน และ Web 3.0 ซึ่งในโลกการเงินยุคใหม่ ความโปร่งใสเพื่อความน่าเชื่อถือจึงต้องเกิดขึ้นตาม
Kenneth James Berey, Co-founder และ Chief Executive Officer ของ ConnectWeb3
ปัจจุบัน อุตสาหกรรมการเงินก็กำลังเดินหน้าไปสู่ความโปร่งใสมากขึ้น
- SparkPay
ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อสร้างความโปร่งใสในทุกธุรกรรม รวมถึงการนำระบบการยืนยันตัวตนและการเข้ารหัสขั้นสูงมาใช้เพื่อปกป้องข้อมูลและเงินของผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างมั่นใจ
- X Network
ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนที่กระจายศูนย์และอำนาจ ทำให้ทุกธุรกรรมสามารถตรวจสอบได้และไม่สามารถแก้ไขย้อนหลัง นอกจากนี้ยังมีระบบการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมแบบอัตโนมัติ และการป้องกันการฉ้อโกงที่ทันสมัย ส่งผลให้เป็นทางเลือกที่น่าเชื่อถือสำหรับการทำธุรกรรมทางการเงินในยุคดิจิทัล
- Jumbo Coin
ได้พัฒนาสกุลเงินดิจิทัลที่มุ่งเน้นการสร้างความไว้วางใจผ่านความโปร่งใสและการกระจายอำนาจ โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนที่ทันสมัยในการบันทึกธุรกรรมทั้งหมดแบบเรียลไทม์ พร้อมทั้งมีระบบการตรวจสอบและยืนยันธุรกรรมที่รวดเร็วและแม่นยำ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถส่งและรับเงินได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางทางการเงินแบบดั้งเดิม
บริการทางการเงินข้ามพรมแดนต้องปรับตัว
การอภิปรายระหว่าง ชานน จรัสสุทธิกุล Co-founder และ Chief Executive Officer ของ FWX และ J.D. Salbego, Co-founder ของ Etheros Labs สรุปได้ว่า
บริการทางการเงินข้ามพรมแดนในประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ด้วยการพัฒนาระบบการชำระเงินดิจิทัลต่างๆ ทำให้การโอนเงินระหว่างประเทศมีต้นทุนต่ำและทำได้แบบเรียลไทม์
J.D. Salbego, Co-founder ของ Etheros Labs (ซ้าย)
ชานน จรัสสุทธิกุล Co-founder และ Chief Executive Officer ของ FWX (ขวา)
การนำเทคโนโลยีบล็อกเชนและปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ได้ปฏิวัติระบบการเงินข้ามพรมแดน โดยบล็อกเชนช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความปลอดภัยในการทำธุรกรรม รวมถึงรองรับการใช้สกุลเงินดิจิทัลและ CBDC ขณะที่ AI ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล ตรวจจับการฟอกเงิน และป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การพัฒนาระบบการเงินข้ามพรมแดนในไทยจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยภาครัฐต้องปรับปรุงกฎระเบียบให้ทันสมัย ซึ่งในอนาคตอันใกล้ รัฐบาลจะเปิดการทดลองใช้แนวคิดแซนด์บ็อกซ์อย่างที่ภูเก็ตด้วยการใช้จ่ายด้วยสกุลเงินดิจิทัลอย่างบิทคอยน์ (Bitcoin) ที่คาดการณ์ว่าจะมีการเปิดใช้งานภายในปีนี้ นับว่าเป็นก้าวสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งรัฐบาลอาจไปถึงภาพของการมีสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองบนระบบบล็อกเชนที่จะโปร่งใสกว่าและกระจายศูนย์หรือ DeFi ได้มากขึ้น
ขณะที่ภาคเอกชนโดยเฉพาะธนาคารและบริษัท FinTech ต้องร่วมมือกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและนวัตกรรมทางการเงิน โครงการริเริ่มของรัฐบาล เช่น คนละครึ่ง และเป๋าตัง ช่วยสร้างความคุ้นเคยกับการใช้เงินดิจิทัล ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาระบบการเงินข้ามพรมแดนในอนาคต ที่จะมุ่งเน้นการบูรณาการระบบการเงินระดับภูมิภาค การพัฒนา CBDC และการสร้างมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล
ดิจิทัลไอดีและระบบ KYC ปรับตัวตามผู้บริโภค
Herve Lacorne, Chief Executive Officer ของ World KYC และ Winstant Ltd และ นุติพงษ์ อภิมนต์ธรกุล Thailand Sales Manager จาก WeTrade กล่าวถึงอนาคตของดิจิทัลไอดีและ KYC โดยสรุปได้ว่า
ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบยืนยันตัวตนและตรวจสอบลูกค้า (KYC) การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ไบโอเมตริก และบล็อกเชน กำลังเปลี่ยนโฉมกระบวนการ KYC ให้มีความปลอดภัย โปร่งใส และสะดวกมากยิ่งขึ้น
Herve Lacorne, Chief Executive Officer ของ World KYC และ Winstant Ltd
ไบโอเมตริกช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบตัวตน ในขณะที่บล็อกเชนมอบความโปร่งใสและลดความเสี่ยงจากการรั่วไหลของข้อมูลที่เก็บในระบบรวมศูนย์ (Centralized Systems)
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญยังคงอยู่ที่การสร้างสมดุลระหว่างความปลอดภัยและความสะดวกสบาย เพื่อลดความไม่สบายใจของผู้ใช้งานที่อาจมองข้อจำกัดว่า ทำไมเราจึงต้องมอบข้อมูลทุกอย่างให้กับบริษัทหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี แนวทางแก้ไขคือการใช้ตัวบ่งชี้หรือ Indicator อื่นๆ เช่น การสแกนลายนิ้วมือ การสแกนใบหน้า เพื่อลดความเสี่ยงในการรั่วไหลของข้อมูลส่วนตัว
นุติพงษ์ อภิมนต์ธรกุล Thailand Sales Manager จาก WeTrade
ประเด็นสำคัญอีกด้านหนึ่ง คือความแตกต่างของกฎระเบียบในแต่ละประเทศ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการปรับใช้ KYC ดิจิทัลแบบข้ามพรมแดน การสร้างมาตรฐานกลางที่สามารถปรับใช้ได้ในระดับสากลและนำไปปรับใช้ตามบริบทของแต่ละภูมิภาคจึงมีความจำเป็น การร่วมมือระหว่างสถาบันการเงิน เทคโนโลยี และผู้กำกับดูแล จะช่วยพัฒนากระบวนการที่รวดเร็วและโปร่งใสยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ การออกกฎหมายควบคุมข้อมูลที่เข้มงวดและการออกแบบระบบที่ให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมข้อมูลของตนเองได้ (Decentralization) จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและความเชื่อมั่นให้กับระบบ KYC ในอนาคต
ในภาพรวม เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องจะเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันให้ KYC ก้าวไปข้างหน้า โดยเน้นการลดข้อมูลที่ไม่จำเป็น เพิ่มความรวดเร็วในการตรวจสอบ และตอบโจทย์การทำธุรกรรมข้ามพรมแดนในโลกที่มุ่งสู่การกระจายอำนาจทางการเงิน การลงทุนในระบบที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานจึงไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันปัญหาการฉ้อโกง แต่ยังสร้างโอกาสในการเชื่อมต่อเศรษฐกิจดิจิทัลระดับโลกได้อย่างยั่งยืน
ความโปร่งใสการเงินไทยสู่มาตรฐานอุตสาหกรรม
TrustFinance Vision Bangkok 2025 เป็นก้าวสำคัญในการสร้างความโปร่งใสและความไว้วางใจในอุตสาหกรรมการเงิน ความร่วมมือระหว่างเทคโนโลยี นวัตกรรม และการสร้างมาตรฐานใหม่ จะช่วยให้อุตสาหกรรมการเงินในประเทศไทยรับมือกับความท้าทายในยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นใจและยั่งยืน
สำหรับ TrustFinance ในปี 2025 มีสิ่งที่น่าตื่นเต้นมายังประเทศไทยอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น TrustFinance Business Bangkok 2025, TrustFinance Connext Bangkok 2025 และ TrustFinance XPO Bangkok 2025
อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์ที่จะเปิดตัวในปีนี้อีกมากมายทั้ง TrustTech, TrustSelling, TrustMarketing และ TrustOperation ที่จะมาช่วยเสริมความโปร่งใสและประสิทธิภาพให้ธุรกิจและผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ติดตามต่อได้ที่ https://www.trustfinance.com/th-TH
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
