ประกาศยืนยันจุดยืนและเจตนารมณ์อย่างชัดเจน สำหรับว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกันอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ล่าสุด ประกาศแล้วว่า “ผมเตรียมขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 60% หรือมากกว่านั้น” หากสามารถชนะการเลือกตั้งหลังเดือนพฤศจิกายน ได้เข้าไปนั่งในทำเนียบขาวอีกสมัย ถือเป็นการยกระดับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่เจ้าตัวได้ก่อไว้ในช่วงวาระแรกของการดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ
ทั้งนี้ ความเห็นดังกล่าวมีขึ้นระหว่างที่ทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับรายการ Sunday Morning Futures ของสถานีโทรทัศน์ Fox โดยทรัมป์ระบุว่า “การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ จำเป็นต้องทำ และยอมรับว่าการขึ้นภาษีดังกล่าวอาจต้องมากกว่า 60% ที่เคยบอกไว้”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ในวันที่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ คัมแบ็ก!
- โดนัลด์ ทรัมป์ มอง AI อาจเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่น่ากลัวที่สุดของโลกตอนนี้
- กลับมาแล้ว! ทรัมป์ชนะเลือกตั้งขั้นต้นรัฐไอโอวา ชิงผู้แทนรีพับลิกันสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี
นอกเหนือจากจีนแล้ว อดีตประธานาธิบดีรายนี้ยังเผยอีกว่าจะกำหนดอัตราภาษีนำเข้า 10% สำหรับการนำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งหมด แม้ว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่ามาตรการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในสหรัฐฯ ก็ตาม
ด้าน Nikki Haley อดีตทูตสหรัฐฯ ประจำองค์การสหประชาชาติ ในฐานะผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีภายในพรรครีพับลิกันเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ข้อเสนอนโยบายดังกล่าวของทรัมป์ว่าจะมีผลกระทบที่ต่ออำนาจการใช้จ่ายของชาวอเมริกัน ก่อนชี้ว่านโยบายของทรัมป์จะทำให้ค่าใช้จ่ายของครัวเรือนชาวอเมริกันเพิ่มขึ้นหลังละ 2,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ขณะเดียวกัน แนวทางดังกล่าวก็เริ่มสร้างความหวาดหวั่นให้กับบรรดานักลงทุนในวอลล์สตรีทที่กังวลว่าสงครามการค้ากับจีนจะส่งผลกระทบต่อตลาดอีกครั้ง
ทั้งนี้ ย้อนไปในปี 2018 ที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เริ่มการจัดการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนระลอกมูลค่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้จีนใช้มาตรการโต้ตอบที่เท่าเทียมกัน ซึ่งการฟาดฟันของสองชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่กินเวลานานหลายปีส่งผลกระทบต่อพลวัตทางการค้าทั่วโลก
สงครามการค้าของทรัมป์กับจีน ทำเสียหาย 1.95 แสนล้านดอลลาร์
ข้อมูลจาก American Action Forum พบว่า สงครามการค้าของทรัมป์กับจีนทำให้ชาวอเมริกันเสียหายประมาณ 1.95 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่ปี 2018 ส่วนสภาธุรกิจสหรัฐฯ-จีน (US-China Business Council) พบว่า การต่อสู้ทางเศรษฐกิจยังส่งผลให้มีการสูญเสียตำแหน่งงานในสหรัฐฯ มากกว่า 245,000 ตำแหน่ง ขณะที่ Deutsche Bank ประเมินว่าสงครามการค้าส่งผลให้ตลาดหุ้นดิ่งระนาวสูญมูลค่านับล้านล้านดอลลาร์
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อพิพาทด้านภาษียังทำให้สหรัฐฯ และจีน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของกันและกัน อยู่ในเงื่อนไขความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรง
อย่างไรก็ตาม แม้จะเผยนโยบายแข็งกร้าวกับจีน แต่ทรัมป์ก็ยืนกรานว่าตนเองยังคงเป็นมิตรที่ดีต่อจีน พร้อมย้ำว่าตนเองชื่นชอบประธานาธิบดีสีจิ้นผิงอย่างมาก และกล่าวว่าผู้นำจีนเป็นเพื่อนที่ดีของตนตลอดระยะเวลาที่ตนดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนธันวาคม ทรัมป์เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นสหรัฐฯ ชื่นชมยกย่องสีจิ้นผิงสำหรับความเข้มแข็งเด็ดขาดเข้าขั้นเผด็จการที่เจ้าตัวมีต่อรัฐบาลและประชาชนชาวจีน โดยทรัมป์กล่าวว่า
“หากได้รับเลือกอีกสมัยก็จะให้การปกครองที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด (Dictator) ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง ซึ่งต่อมาภายหลังทรัมป์แก้ตัวว่า สิ่งที่ตนเองพูดหมายถึงจะเป็นจอมเผด็จการในวันแรกที่รับตำแหน่งเพียงวันเดียวเท่านั้น”
นอกจากนั้นก็จะเป็นประธานาธิบดีตามแนวทางประชาธิปไตย เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการเลือกตั้ง และสร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายตรงข้ามทรัมป์เป็นอย่างยิ่ง
ภาพ: Scott Olson / Staff / Getty Images, Tommy / Getty Image
อ้างอิง: