×

เหล่าเทรดเดอร์คาด Fed ขึ้นดอกเบี้ย 1% เดือน ก.ค. นี้ เชื่อต้องใช้ยาแรงหลังเงินเฟ้อพุ่งแตะระดับ 9%

15.07.2022
  • LOADING...
Fed

สถานีโทรทัศน์ CNBC รายงานความเห็นของบรรดานักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่ออกมาคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายการเงินระหว่างวันที่ 26-27 กรกฎาคมนี้ถึง 1%

 

โดยความเห็นครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนมิถุนายนของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นเหนือความคาดหมายมาอยู่ที่ 9.1% และมีขึ้นหลังจากที่ธนาคารกลางแคนาดานำร่องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1% ไปแล้วก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน หลังจากที่ทางการสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุด

 

อย่างไรก็ตาม บรรดานักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่ฟันธงอย่างชัดเจนว่า Fed จะใช้ยาแรงตำรับนี้หรือไม่ และรอฟังความเห็นจาก คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการ Fed นิวยอร์ก ตลอดจนรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในเดือนมิถุนายน เพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมก่อนคาดการณ์ในสิ่งที่ Fed จะลงมือทำต่อไป

 

วันเดียวกันทางด้าน เจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของ JPMorgan Chase ได้ออกโรงวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการกำกับดูแลของ Fed ที่บังคับให้ธนาคารของตนต้องระงับการซื้อคืนหุ้น ที่ส่งผลต่อผลกำไรโดยรวมของธนาคารในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้

 

โดย Stress Test เป็นการทดสอบความแข็งแกร่งประจำปีของธนาคารและสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ที่เริ่มนำมาใช้หลังจากเกิดวิกฤตการเงินในปี 2008 โดยไดมอนกล่าวอย่างชัดเจนว่า ตนเองไม่เห็นด้วยกับการทดสอบ Stress Test นี้ เพราะกระบวนการทดสอบไม่สอดคล้องกับสภาวะความเป็นจริงของธนาคาร ขาดความโปร่งใส ผันผวนเกินไป และเป็นการกระทำตามอำเภอใจและพลการ

 

โดย J.P. Morgan กล่าวว่า เพราะ Stess Test ทำให้ธนาคารต้องพยายามหาเงินทุนเพิ่มเพื่อให้สอดคล้องกับผลการทดสอบของ Fed เมื่อเดือนที่แล้ว โดยสารพัดข้อกำหนดด้านเงินทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในการทดสอบส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินระดับโลกที่ใหญ่ที่สุด ส่งผลให้ธนาคารในนิวยอร์กต้องระงับการจ่ายเงินปันผล ในขณะที่ Citigroup ประกาศในลักษณะเดียวกัน ส่วนคู่แข่งอย่าง Goldman Sachs และ Wells Fargo ก็ต้องเพิ่มการจ่ายเงินให้กับนักลงทุนเพื่อให้ผ่านเกณฑ์ Stress Test เช่นกัน

 

ความเห็นครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่ทาง J.P. Morgan ธนาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ เมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไรลดลง 28% ในไตรมาส 2 เนื่องจากธนาคารต้องกันสำรองหนี้สูญจำนวน 428 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

รายงานระบุอีกว่า ธนาคารมีกำไร 8.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.76 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น ต่ำกว่าระดับ 1.19 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3.78 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.88 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น

 

นอกจากนี้ธนาคารมีรายได้ 3.163 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.195 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

หลังจาก J.P. Morgan เปิดเผยผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 บริษัทได้เปิดเผยมาตรการอื่นๆ ที่ใช้ในการควบคุมทุนของธนาคาร ซึ่งรวมถึงการระงับการซื้อหุ้นคืนชั่วคราว โดยผลกำไรที่ลดลงส่งผลให้หุ้นของ J.P. Morgan เมื่อวานนี้ (14 กรกฎาคม) ร่วงลงมากถึง 5% แตะระดับต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ 

 

อ้างอิง: 

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising