×

The Very Normal of Moderndog: คอนเสิร์ตธรรมดา…ที่โคตรไม่ธรรมดาจริงๆ ครับ

11.11.2022
  • LOADING...
The Very Normal of Moderndog

HIGHLIGHTS

  • ‘ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา’ ใครที่เข้าใจสโลแกนนี้ ที่เราแอบยกมาจากโฆษณาผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นกายยี่ห้อหนึ่งในช่วงยุค 90 แสดงว่าคุณเคยเป็นวัยรุ่นที่เติบโตมาในไทม์ไลน์เดียวกับการโลดแล่นอยู่ในวงการเพลงไทยของคณะดนตรี โมเดิร์นด็อก ซึ่งดำรงอยู่มาแล้วยาวนานถึง 28 ปี กับสตูดิโออัลบั้ม 6 ชุด ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยเลยทีเดียวล่ะ สำหรับวงดนตรีที่มีอายุในวงการเกือบ 3 ทศวรรษ แต่อย่างไรก็ตาม บทเพลงของโมเดิร์นด็อกหลายๆ เพลงก็ยังแอบฝังตัวอยู่ในความทรงจำในหลายๆ ช่วงชีวิตของเราอย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งได้มาฟังสดๆ ในคอนเสิร์ต The Very Normal of Moderndog ครั้งนี้ หลายๆ ภาพเหตุการณ์ในอดีตที่เหมือนจะถูกลืมไปแล้วบ้าง ได้ถูกดึงกลับออกมาจากจุดซ่อนเร้นแห่งความทรงจำให้ได้ประจักษ์จิตอีกครั้ง
  • ถ้าถามว่าโชว์นี้เป็นอย่างไรบ้าง เราคงตอบว่า ‘มันดีมากๆ เลยแหละ ที่ทำให้เรารู้สึกโอเค’ เราเพิ่งจะรู้ตัวว่าเพลงของโมเดิร์นด็อกเป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ต้นเดิม ที่เราในวัยเด็กเคยใช้ยืนเทียบวัดความสูง โดยการบากรอยทิ้งไว้ตรงลำต้น แล้วกลับมาวัดอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปว่าเราสูงขึ้นเท่าไรแล้ว และตั้งแต่วันที่ร่างกายเราโตจนหยุดการขยายตัว เราก็ไม่ได้กลับไปวัดความสูงที่เดิมอีก เราอาจจะลืมไปว่าถึงแม้เราจะหยุดสูงไปนานหลายปีแล้ว แต่เรายังไม่หยุด ‘เติบโต’ และยังเติบโตต่อไปได้อีกตราบที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้นรอยบากวัดความเติบโตของเราบนลำต้นของต้นโมเดิร์นด็อกย่อมอยู่สูงเหนือความสูงของร่างกายอย่างแน่นอน และหวังว่าเมื่อเรากลับมาวัดมันอีกครั้งที่ต้นไม้ต้นเดิมต้นนี้ เราคงได้บากรอยที่อยู่เหนือจากเส้นเดิมขึ้นไปอีกเรื่อยๆ

 

The Very Normal of Moderndog

 

‘ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา’ ใครที่เข้าใจสโลแกนนี้ ที่เราแอบยกมาจากโฆษณาผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นกายยี่ห้อหนึ่งในช่วงยุค 90 แสดงว่าคุณเคยเป็นวัยรุ่นที่เติบโตมาในไทม์ไลน์เดียวกับการโลดแล่นอยู่ในวงการเพลงไทยของคณะดนตรี โมเดิร์นด็อก ซึ่งดำรงอยู่มาแล้วยาวนานถึง 28 ปี กับสตูดิโออัลบั้ม 6 ชุด ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยเลยทีเดียวล่ะ สำหรับวงดนตรีที่มีอายุในวงการเกือบ 3 ทศวรรษ แต่อย่างไรก็ตาม บทเพลงของโมเดิร์นด็อกหลายๆ เพลงก็ยังแอบฝังตัวอยู่ในความทรงจำในหลายๆ ช่วงชีวิตของเราอย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งได้มาฟังสดๆ ในคอนเสิร์ต The Very Normal of Moderndog ครั้งนี้ หลายๆ ภาพเหตุการณ์ในอดีตที่เหมือนจะถูกลืมไปแล้วบ้าง ได้ถูกดึงกลับออกมาจากจุดซ่อนเร้นแห่งความทรงจำให้ได้ประจักษ์จิตอีกครั้ง

 

แต่คราวนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้าย เรากลับรู้สึก ‘ขอบคุณโชคดี’ เหมือนในเพลงของวงจริงๆ เราไม่ได้สุขเกินงามจนผยองพองโต และไม่ได้ทุกข์เกินไปจนต้องหอบหิ้วมันกลับขึ้นมาบั่นทอนชีวิตในปัจจุบัน บทเพลงแห่งกาลเวลาเหล่านี้ได้แปรสภาพให้เรากลายเป็นบุคคลที่สามที่มองย้อนกลับไปในชีวิตของตนเองที่ผ่านมา และด้วยมุมมองของบุคคลที่สามนี่แหละ ที่ทำให้เราเข้าใจและยอมรับทั้งความสำเร็จและความผิดพลาดในอดีตอย่างสุขุม จิตใจไม่สวิงสวายไปตามประจุบวกหรือลบในเรื่องราวเก่าๆ เหล่านั้นเหมือนเมื่อก่อน ใครก็ตามที่รู้สึกแบบเดียวกันนี้ แสดงว่า ณ วันนี้คุณน่าจะเดินทางมาถึงหรือเข้าใกล้ครึ่งหลังของชีวิตแล้วล่ะ หึๆๆ

 

เมื่อสังเกตบรรยากาศหน้างานด้วยสายตา จะเห็นได้ไม่ยากว่ากลุ่มผู้ชมส่วนใหญ่ไม่น่าจะใช่วัยรุ่นกันแล้ว ที่เคยมากันเป็นคู่ บางคู่ก็หอบเอาสมาชิกใหม่ตัวน้อยห้อยกระเตงมาทำความรู้จักกับบทเพลงที่พ่อกับแม่เคยใช้จีบกัน จนได้มีหนูมาเป็นผลิตภัณฑ์แห่งความรักนี่แหละ บ้างก็มาพร้อมหลักฐานรอยย่นบนในหน้า และรอยแผลเป็นตามตัวที่แสดงให้เห็นว่าเส้นทางชีวิตที่ผ่านมาก็คงจะหนักหนาสากรรจ์ไม่เบา บ้างก็มาพร้อมคราบเลือดที่เปื้อนมืออย่างถาวร จากการใช้ชีวิตที่คอยทำร้ายผู้อื่นมาโดยตลอด จนเกินวัยที่จะเรียนรู้และเข้าใจตรรกะสากลแห่งความผิดชอบชั่วดีไปแล้ว กลุ่มผู้ชมที่มีความหลากหลายของเฉดสีขาว เทา ดำ เหล่านี้ต่างก็มารวมตัวกันในสถานที่ที่มีความจุประมาณ 1,000 ชีวิตอย่างโรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ ซึ่งเรียกว่าขนาดกำลังอบอุ่นพอเหมาะสำหรับคอนเสิร์ตแนวอะคูสติก โดยยังพอมีที่เหลือให้รังสีบวกและลบ ต่างเฉดสีของแต่ละปัจเจกได้มีที่อยู่และไหลเวียนอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เพราะจุดมุ่งหมายร่วมของการมารวมตัวกันครั้งนี้ก็คือ มาเพื่อรับพลังจากบทเพลงของโมเดิร์นด็อก ที่ไม่เคยแบ่งแยกฝั่งแยกฝ่าย ไม่ว่าเหล่าผู้ฟังจะมาจากต่างภพต่างภูมิอันห่างไกลกันแค่ไหนก็ตาม

 

  The Very Normal of Moderndog

 

ความ Very Normal ของคอนเสิร์ตนี้มีให้เราเห็นอยู่ตั้งแต่เข้ามาถึงบริเวณงาน (แต่ไม่รวมตรงลิฟต์ทางขึ้นที่โคตรวุ่นวายฉิบหายนะ) เวทีการแสดงถูกเปิดเผยให้เห็นอย่างอ้าซ่าไร้โมเสก ให้ผู้ชมที่เริ่มเข้างานมานั่งรอเวลาได้ส่องสำรวจบนเวทีที่ถูกออกแบบจัดวางอย่างมินิมัลสุดๆ มองเห็นทะลุไปถึงผนังหลังเวทีและบานประตูข้างหลัง โทนสีของวัสดุ พร็อพ และเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ แทบจะเป็นโมโนโครม ขาว เทา ดำ ทั้งหมด ทำให้เราแอบรู้สึกถึงความขึงขังไม่น้อยในยามที่มันถูกจัดวางอยู่นิ่งๆ ตอนที่การแสดงยังไม่เริ่มต้น จนกระทั่งเราได้มาร้องอ๋ออีกทีเมื่อโชว์ได้เริ่มดำเนินขึ้น 

 

และเมื่อระบบแสงสีได้เริ่มต้นทำหน้าที่ของมัน พื้นผิวขาว เทา ดำ ทั้งหมดกลายเป็นพื้นภาพที่เป็นตัวกลางอย่างดีในการสาดแสงสีต่างๆ ลงไปตามอารมณ์ของแต่ละซีนโดยไม่ผิดเพื้ยน ไม่ต้องเผื่อเหลือเผื่อขาด และยังช่วยขับวิชวลเอฟเฟกต์ให้ดูเป็นสามมิติ เห็นความตื้น-ลึกขององค์ประกอบต่างๆ บนเวทีได้อย่างง่ายดาย และแน่นอน เมื่อภาพและเสียงดนตรีมาทำงานร่วมกัน ผลลัพธ์ของมวลรวมที่ได้ก็คืองานศิลปะ 4 มิติเก๋ๆ ดีๆ นี่เอง 

 

อีกนัยหนึ่ง งานคอนเสิร์ตนี้จึงได้กลายเป็นงาน Installation Art ชิ้นใหญ่ไปด้วย โดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม การแสดงเริ่มขึ้นแล้ว

The Very Normal of Moderndog

 

เมื่อถึงเวลาอันควร สมาชิกวงและนักดนตรีแบ็กอัพได้เดินขึ้นมาประจำที่บนเวทีอย่างเรียบง่าย ไม่ได้ไถลท่ามูนวอล์กออกมาแล้วร้องฮี๊ฮี ไม่ได้ขี่มังกรยักษ์เวการ์มาร่อนถลาลงกลางเวที เพราะอย่าลืมว่าคอนเสิร์ตนี้คือ The Very Normal และไม่มีสมาชิกคนไหนใช้นามสกุลทาร์แกเรียน สลิงไม่ต้อง สตันท์ไม่มี สคริปต์ไม่รู้ ถึงมีก็อาจจะไม่ได้ใช้ด้วยสิ เพราะวงนี้เขาทำตามสัญชาตญาณมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

 

และต้องบอกล่วงหน้าว่า ‘ผิดหวังแน่นอน’ หากคุณคิดว่าคอนเสิร์ตอะคูสติกนี้จะเป็นบรรยากาศแบบชิลๆ ริมทะเล อูคูเลเล่เคล้าเสียงคลื่น ชื่นมื่นเขย่าไข่ ดนตรีใสๆ ชูบีดูวับ ถ้านายไม่จริงจัง นายก็จงนอนเกาพุงอยู่บ้านไปเลย เพราะนี่คือพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของชาว Gen X ตอนปลาย ถึง Gen Y ตอนต้น

 

The Very Normal of Moderndog

 

องก์ที่ 1: โหมโรงครับ

 

ปาร์ตี้ธีมชุดนอนงานนี้เริ่มขึ้นด้วยบทสวดมนต์ก่อนนอนอย่างเพลง ลอยมา ลอยไป ในเวอร์ชันนี้ยังคงความวังเวงคล้ายบทสวดอธิษฐานอะไรบางอย่าง ที่สะกดให้ผู้ชมเลิกไถหน้าจอแล้วหันมาโฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งทางวงก็ทำได้สำเร็จ เราและผู้ชมต่างก็ถูกนำพาเข้าสู่ภวังค์…ตามกาลเวลา…ลอยมาลอยไป…ไหลวนอยู่อย่างนั้น บรรยากาศเหมือนเป็นการชุมนุมของลัทธิอะไรบางอย่าง? ใช่แล้ว โมเดิร์นด็อกไม่ได้เป็นแค่วงดนตรี แต่เป็น ‘ลัทธิ’ ที่เข้ามาเผยแผ่และวางรากฐาน Pop Culture รูปแบบใหม่ตั้งแต่เมื่อ 28 ปีที่แล้ว จนมีผู้ศรัทธาติดตามมากพอที่จะดำรงอยู่ข้ามยุคข้ามสมัยมา และยังสามารถจัดคอนเสิร์ตยาวๆ ได้ถึง 4 รอบ

 

ต่อด้วย ฉันยังคงหายใจ ที่เหมือนเป็นสาส์นทักทายแทนคำสวัสดีจากทางวง ไม่ว่ากี่ร้อนกี่หนาวจะผ่านไปเท่าไร ตั้งแต่ยุคต้มยำกุ้งยันโควิด ลัทธิโมเดิร์นด็อกก็ยังคงหายใจไปด้วยกันกับเหล่าอัครสาวกเดนตายที่มาร่วมรับฟังเป็นประจักษ์พยาน จนมาถึงเพลงที่ 3 บางสิ่ง ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกบางอย่าง ราวกับว่าสารเคมีในร่างกายได้ถูกปรับจูนมาจนเข้าที่ลงตัวในที่สุด ณ เวลานี้ปฏิกิริยาที่เคยหลับไหลอยู่ในรอยหยักเส้นในสุดของปลายสมองได้ถูกปลุกขึ้นมาในรอบหลายๆ ปี พร้อมกับภาพความทรงจำอันพรั่งพรูที่ไหลย้อนกลับขึ้นมาปริ่มๆ 

 

The Very Normal of Moderndog

 

เราเชื่อว่าหลายๆ คนในที่นั้นก็คงรู้สึกถึงปฏิกิริยาเดียวกันนี้ แต่ต่างคนต่างก็คงมีภาพความทรงจำส่วนตัวต่างๆ กันไป  ในส่วนของตัวเราเองนั้น ไม่รู้ว่าเป็นไงมาไงถึงได้ดึงภาพบรรยากาศในรถไฟสายกรุงเทพฯ-สุไหงโก-ลก บนตู้นอนยามดึกสงัด ที่เด็กต่างจังหวัดผู้นอนหลับยากมาแต่ไหนแต่ไรคนนี้ใช้เป็นพาหนะในการไป-กลับบ้านเกิดอยู่เสมอ เราเคยเปิดเพลงนี้วนไปมาเป็นซาวด์แทร็กประกอบการพลิกตัวไปมาในพื้นที่ 1 ตารางเมตรกว่าๆ ผสมกับเสียงฉึกฉักของรถไฟ และหน้าต่างอันมืดสนิทไม่เห็นอะไรเลย ยิ่งดึกก็ยิ่งหิวแต่ก็ยังไม่หลับ จนปาเข้าไปตีสี่ เพลง บางสิ่ง เริ่มยืดยาวขึ้น จังหวะค่อยๆ ช้าลง และเหมือนจะถูกลดคีย์ลงมาเรื่อยๆ นี่เราฟังเพลงเดิมซ้ำๆ จนหลอนเหรอเนี่ย!? ไม่นะ หรือว่าเทปยืด? โชคดีที่มีเทปสำรองหน้าปกอินทรีแดงอีกม้วน แต่ทว่าปัญหาที่แท้จริงก็คือ ถ่านซาวด์อะเบาต์หมดต่างหาก…เกมโอเวอร์สิครับ

The Very Normal of Moderndog

 

จนถึงทุกวันนี้อดีตเด็กน้อยหัวเกรียนคนนั้นก็ยังคงหลับยากเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนจากการฟังเพลง บางสิ่ง มาพึ่งยาซาแน็กซ์แทน ส่วนรถไฟขบวนนั้น ทุกวันนี้มันอาจจะยังไม่ถูกปลดระวาง และอาจยังคงใช้วิ่งต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันก็ได้นะ

 

ที่เล่ามายืดยาวนี้ ก็เพื่อพยายามอธิบายให้เห็นภาพว่าพิษสงของความทรงจำนี่มันช่างร้ายกาจจริงๆ และมันก็ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องเมื่อคอนเสิร์ตได้ดำเนินไปตาม Song List ที่ถูกร้อยเรียงมาแล้วอย่างแยบยล

 

 

องก์ที่ 2-3: ไต่เพดานบิน อินกับความทรงจำ

 

หลังจากที่ปรับอารมณ์กันจนได้ที่แล้วโดยภาคแรกของการแสดง วงเครื่องสาย String Quartet ก็ได้ก้าวขึ้นมาเสริมทัพ และมีบทบาทอย่างมากมายในการนำพาผู้ชมท่องไปต่อในพิพิธภัณฑ์แห่งความทรงจำส่วนบุคคล ต่างคนต่างความทรงจำ ถ้านับรวมผู้ชมทุกรอบ ที่แห่งนี้ก็คงอบอวลไปด้วยความทรงจำ 4,000 กว่ารูปแบบที่มารวมตัวอยู่ด้วยกัน โดยมีบทเพลงของโมเดิร์นด็อกเป็นเครื่องขุดลอกท่อลำเลียงความทรงจำที่อาจจะเคยแห้งขอดหรือตีบตันไปบ้าง ด้วยภาระหน้าที่กว่า 4,000 x 100 เรื่องที่มาทับถมกันตามวาระโอกาส

 

เสน่ห์ของปรากฏการณ์นี้ก็คือ ในทุกความทรงจำนั้นมีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีจุดร่วมในพื้นที่ซ้อนทับกันอยู่ในแต่ละช่วงของชีวิต มีทั้งพันธมิตรและศัตรู สะสางได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะเราไม่ได้มีอำนาจในการควบคุมความคิดจิตใจใครเลยสักคนในโลก แม้แต่ใจตัวเองยังคุมได้ยากเลย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ณ ช่วงเวลานี้ เรามีบทเพลงและแสงสีเสียงจากคณะโมเดิร์นด็อกแบบอิ่มๆ มาช่วยประกอบการทบทวนชีวิตช่วงต่างๆ ที่ผ่านมา ใครจะเผลอยิ้มบ้าง หรือแอบน้ำตารื้นบ้าง ก็ไม่แปลก เพราะอาการเหล่านั้นมันช่วยยืนยันว่าเรายังคงมีความเป็นสามัญมนุษย์อยู่

 

เพลง ที่จริงในใจ ที่เราเคยฟังสดๆ ครั้งแรกที่ MBK Hall กับแฟนคนแรกสมัยวัยเยาว์ที่เราเคยภูมิใจที่ได้ไขว่คว้ามาจากสมาชิกกลุ่ม 7 นางฟ้า สัญญาขันธ์ในการฟังครั้งนี้ถูกประมวลผลโดยอัตโนมัติออกมาเป็นความรู้สึก ‘ขอบคุณ’ ที่ยังคงมีเธออยู่ในฐานะเพื่อนที่ดีคนหนึ่งในชีวิต และรู้สึก ‘ยินดี’ กับครอบครัวที่น่ารักของเธอ ถ้าไม่ติดภารกิจเลี้ยงลูก เธอคงไม่พลาดที่จะมาร่วมบู๊ในคอนเสิร์ตนี้ด้วยอย่างแน่นอน

 

“ฮัลโหล เล็กเหรอ” วลีจากเพลง Happiness…is ที่เราเคยสงสัยว่าเล็กคือใคร จะใช่ เล็ก ฝันเด่น หรือเปล่านะ แต่ไม่น่าจะใช่ อาเล็ก ธีรเดช แต่วันนี้เรากลับรู้สึกว่าจะเป็นเล็กไหนๆ ก็ไม่ใช่ธุระของเรานี่หว่า และซาวด์เอฟเฟกต์อันนี้ก็ไม่ได้ถูกใส่ไว้ในเวอร์ชัน Very Normal นี้ โอเคนะ

 

กันและกัน ในเวอร์ชันอะคูสติกนี้ยังคงความมุทะลุปลุกใจอยู่ไม่คลาย มีแต่ตัวเราเท่านั้นแหละที่รู้สึกเปลี่ยนไป โดยเพิ่งจะสังเกตได้ในตอนนี้นี่เอง เพลงนี้ในปี 2004 เคยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตหนุ่มน้อยที่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ มาได้ไม่กี่ปี เป้าหมายชีวิตที่ออกจะแปลกแยกจากเพื่อนร่วมรุ่นในเวลานั้น ทำให้เราลังเลสงสัยในเส้นทางที่เลือกไม่น้อย ณ ตอนนั้นเราก็ได้แต่พุ่งทะยานไปข้างหน้าให้ไกลจากปากทางเข้าให้ได้มากที่สุด เพื่อบังคับตัวเองว่าถ้าจะเปลี่ยนใจย้อนกลับมันจะยากกว่าเดิมแล้วนะ ตัดทางเลือกทั้งหมดให้เหลือแค่เพียง เราต้องวิ่งต่อไปเท่านั้นถึงจะรอด โดยมีเพลงอารมณ์วิ่งๆ ลุยๆ แบบ กันและกัน นี่แหละเป็นซาวด์แทร็กประกอบการวิ่งเอาโล่ของม้าหนุ่มในวันนั้น มาจนถึงเพลงเดิมในเวอร์ชัน 2022 ที่ทำให้ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ถึงแม้เส้นชัยจะไม่มีอยู่จริง เป็นสิ่งสมมติ แต่เราก็มาถึงจุดที่จำทางเข้าแรกสุดไม่ได้แล้วล่ะ เพราะประตูที่ผ่านเข้ามาต่อจากนั้นมันมีอีกหลายบาน หลากทางเลือกยิบย่อยเหลือเกิน ไม่รู้เรียกว่าหลงทางหรือเปล่า แต่อย่างไรก็ตามเราก็ได้พาตัวเองเข้ามาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เราเลือกเองมาตั้งแต่แรก จะหลงอย่างไรก็คงไม่ถึงกับหลุดโซนไปอยู่ย่านอื่นที่ไม่ใช่ที่ของเราหรอก 

 

“ช่วงเวลา ที่แสนเหน็บหนาว” มีมากมายหลายอุณหภูมิเหลือเกินจนขี้เกียจจะนับแล้ว เพราะเดี๋ยวมันก็คงมีเข้ามาอีกเรื่อยๆ “ต้องปวดร้าว เธอนั้นยังมีฉัน” ประโยคน้ำตาซึมที่ทำให้เรานึกถึง ‘แม่’ ที่แม้ไม่ได้วิ่งไปด้วยกับเรา แต่เหมือนแกจะแอบส่องดูไลฟ์สตรีมมิงตลอดเส้นทางการวิ่งมาราธอนของเราตั้งแต่สมัยยังไม่มีโซเชียลมีเดีย จนถึงทุกวันนี้แม่ก็ยังคงคอยรับสายบ่นยามดึกจากลูกชายวัยกลางคนอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง กันและกัน ของแต่ละคนอาจจะตีความไม่เหมือนกัน แต่สำหรับเราคือ ‘แม่’ แน่นอนและชัดเจน

 

OPINION: The Very Normal of Moderndog: คอนเสิร์ตธรรมดา…ที่โคตรไม่ธรรมดาจริงๆ งับ

 

เมื่อใช้ชีวิตมาได้ระยะหนึ่ง อุปสรรคปัญหาที่ประสบพบเจอก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามขนาดของอวัยวะ คนอกหักจริงๆ แล้วมันไม่ได้ดูเท่เหมือนที่เห็นในมิวสิกวิดีโอเลยว่ะ ให้ตายสิ เมื่อ ‘เจ็บ’ มากๆ เข้า ก็พาไปถึงขั้น ‘ป่วย’ ล้มหมอนนอนเสื่อ ขี้เกลือขึ้นก้น เพลง วันสุดท้าย นี่เหมือนเป็นเพลงประกอบการดำดิ่งหมกจมอยู่บนเตียงแบบไม่สนวันสนคืนใดๆ ทั้งสิ้น ใบหน้าที่ซุกแน่นอยู่บนหมอนใบเก่าก็เพียงเพื่อสูดกลิ่นน้ำหอมของเธอที่ยังคงหลงเหลือติดอยู่ให้ได้นานที่สุด ทั้งที่รู้ว่าอย่างไรกลิ่นนี้ก็คงต้องจางหายไปก่อนที่เราจะทำใจได้ “จนวันสุดท้าย…ที่โหดร้าย…จนเกินทนไหว รู้ว่ามันต้องผ่านไป และฉันก็ควรจะทำใจ…” ในวันนั้นมันเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย ใครมันจะไปทำใจได้วะ มาถึงเนื้อเพลงตรงท่อนแยกที่ว่า “ต่อจากนี้ไป…จะมีใคร…” เป็นคำถามที่ทำเอาเราถึงกับสำลักทะลุมิติเวลา มารู้สึกตัวอีกทีว่ามือกำลังกำสมาร์ทโฟนอย่างแน่นอยู่กลางคอนเสิร์ต ทว่าเป็นการสำลักเสียงหัวเราะในใจนะ เพราะตอนนี้คำตอบมันก็เห็นชัดเจนอยู่ว่า เราก็อยู่ของเราเองมาได้จนถึงทุกวันนี้ พลางยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาเติมเงินใน GrabPay Wallet เผื่อสำหรับคืนนี้ให้อุ่นใจสักหน่อย เพราะสิ่งที่เราขาดไม่ได้จริงๆ ณ วันนี้ก็มีแค่เพียง GrabFood กับ Netflix เท่านั้นเอง ข้าอยู่ของข้าเองได้โว้ย!

 

 

องก์ที่ 4: สามแซ่บ

 

ณ จุดนี้เราได้เดินทางมาถึงครึ่งโชว์แล้ว ทางวงได้ปรับรูปแบบการแสดงให้เหลือเพียง 3 สมาชิก ป๊อด-โป้ง-เมธี กับเครื่องดนตรีน้อยชิ้นที่สุด ให้เราได้ผ่อนคลายจากดราม่าความทรงจำส่วนบุคคลที่ถูกพี่ๆ เขาคอยถีบกระตุ้นมาตลอดเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง เป็นคอนเสิร์ตนั่งดูที่ทำเอาผู้ชมเหนื่อยใช้ได้เลยทีเดียว 

 

พระจันทร์ดวงกลมโตจากทีมแสงได้สาดส่องย้อมเวทีแบบนวลๆ ขึ้นมาพร้อมกับเพลง แสงจันทร์ เราประทับใจตรงที่มีน้ำพุเล็กๆ ตั้งอยู่บนเวที และมีการเอาไมโครโฟนไปจ่อรับเสียงน้ำพุให้ผู้ชมได้ยินไปด้วย เพื่อให้มันเป็นเสียงบรรยากาศธรรมชาติคลอเคล้าไปตลอดทั้งเพลง จากคอนเสิร์ตที่ให้ความรู้สึก ‘น้อยแต่มาก’ มาตลอดทาง จนถึงช่วงนี้ยิ่งทำให้รู้สึก ‘น้อยยยยยยยยยแต่มากกกกกกกก’ ขึ้นไปอีก

 

ทว่าหลังจากเราเพิ่งได้ผ่อนคลายหายใจหายคอไปได้แค่เพลงเดียว พระจันทร์ก็เปลี่ยนเป็นสีเลือด พร้อมกับเพลง รูปไม่หล่อ ที่สาดขึ้นมาอย่างเดือดดาล ให้มวลพลังอย่างมหาศาล ทั้งๆ ที่ใช้เครื่องดนตรีแค่ 3 ชิ้นนั่นแหละ ถอดเอาความเป็นอิเล็กทรอนิกส์จากเวอร์ชันออริจินัลออกจนหมด แต่พลังงานยังคงร้อนแรงเหมือนเดิมไม่มีตก

 

องก์ที่ 5: องก์บาก

 

เมื่อมาถึงช่วงท้ายของคอนเสิร์ตแล้ว มันเป็นเรื่องไม่เกินความคาดหมายเลยที่ทางวงจะเลือกงัดเอาเพลงมันๆ ที่อั้นไว้ออกมาปล่อย และปล่อยกันในท่านั่งนี่แหละ เพราะอย่าลืมว่านี่คือคอนเสิร์ตอะคูสติก แต่สุดบู๊เบอร์เดียวกับลีลาการตามหาช้างของ จา พนม ผสมเฉินหลง ฟีเจอริง ทอม ครูซ เพลงที่มีจังหวะจะโคนอย่าง ขอบคุณโชคดี, นิยาย, โอน้อยออก และ ติ๋ม ก็ถูกยกออกมาเล่นในช่วงนี้นี่เอง จนมาถึงเพลง ขอบคุณ ที่เราชื่นชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ในเวอร์ชันนี้มันเหมือนมีปฏิกิริยาพิเศษบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวเราในระดับเจตสิก เพลงง่ายๆ ที่สื่อสารแบบตรงไปตรงมาแบบนี้กลับดึงเอาเลเยอร์ความซับซ้อนในใจเราขึ้นมาลอกออกมาได้เป็นแผ่นๆ เหมือนขนมชั้นเลยทีเดียว คำว่า ขอบคุณ ที่เราใช้อยู่แทบทุกวัน แม้ในวันที่ไม่ได้ออกจากบ้านไปไหน เราก็ยังได้พูดขอบคุณกับพี่ไรเดอร์ทุกครั้งที่เขาเอาอาหารมาส่ง คำคำนี้มันมีความหมายมากจนเราคิดว่า ต่อไปนี้เราต้องตั้งใจให้มากกว่าเดิมในทุกครั้งที่เราพูดคำขอบคุณกับใครก็ตามแล้วล่ะ เริ่มจากขอบคุณพี่ที่นั่งข้างๆ ที่ไม่ทำตัวน่ารำคาญ และกลิ่นตัวไม่เหม็น ทำให้เราโฟกัสกับคอนเสิร์ตได้ตลอดทั้งโชว์โดยไม่สะดุด ขอบคุณจากหัวใจครับ

 

 

องก์ที่ 6: อังกอร์ ล่อน้ำตา

 

แน่นอน ตามธรรมเนียมของคอนเสิร์ตต้องมีอังกอร์ งานนี้ก็เช่นกัน เราเข้าใจว่าช่วงระหว่างที่ผู้ชมกำลังร้องขอ “เอาอีกๆๆ” นั้น เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ศิลปินและทีมงานแวะออกไปฉี่ ยิ่งถ้าเป็นศิลปินเกิร์ลกรุ๊ปไอดอลที่มีสมาชิกเยอะๆ ช่วงรออังกอร์ต้องนานมากแน่ๆ ด้วยจำนวนคน หารด้วยความสามารถในการรองรับการใช้งานของห้องน้ำ กับอีกปัจจัยทางธรรมชาติที่ผู้หญิงมักจะใช้เวลาในการเข้าห้องน้ำนานกว่าผู้ชายเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นจึงเดาได้ไม่ยากว่าคอนเสิร์ตนี้ไม่ปล่อยให้ท่านผู้ชมต้องแหกปากเรียกศิลปินนานจนอารมณ์ขาดช่วงแน่นอน

 

ช่วงอังกอร์เป็นเวลาสำคัญที่ศิลปินจะต้องงัดเอาเพลงเอกอันเป็นท่าไม้ตายออกมาใช้ พร้อมกับทุ่มพลังงานทั้งหมดที่เหลืออยู่ออกมา เพราะฉะนั้นเขาควรจะได้ไปฉี่ก่อนแหละ ถูกต้องแล้ว พลังของ บุษบา คงไม่ยิ่งใหญ่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ หากพี่ๆ โมเดิร์นด็อกไม่ได้ลงไปพักทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อน ตามด้วยเพลง ทบทวน และ ตาสว่าง เป็นอันจบพิธีกรรมอย่างสวยงามของลัทธิโมเดิร์นด็อก

 

 

อ้าว แล้วไม่มีเพลง ก่อน เหรอเนี่ย นี่มันเกิดอะไรขึ้น? หลังจากรอจนแน่ใจแล้วว่าการแสดงได้จบลงแล้วจริงๆ เหล่าผู้ชมก็ได้ร่วมร้องเพลง ก่อน แบบเปล่าๆ อย่างพร้อมเพรียงกันจนจบเพลง ราวกับว่ามันถูกเว้นที่ว่างไว้สำหรับให้ผู้ชมได้ทำการแสดงบ้าง กลายเป็นภาพที่สวยงามน่าประทับใจเสียอย่างนั้น จะด้วยเหตุผลอันใดก็ตามที่เพลงนี้ไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ใน Song List ของการแสดง แต่นี่มันก็เป็นโชว์ที่สมบูรณ์แบบในตัวของมันเองแล้วล่ะ การสื่อสารแลกเปลี่ยนพลังงานระหว่างโมเดิร์นด็อกกับเหล่าผู้ชมตลอดเกือบ 3 ชั่วโมงนี้ มันก็อิ่มหนำมากพอที่จะเป็นพลังให้ฉันสู้ต่อไป บนโลกที่โหดร้ายเหลือเกินแล้ว 

 

ถึงแม้เพลง ก่อน จะเรียกได้ว่าเป็นเพลงแจ้งเกิดของคณะโมเดิร์นด็อกเมื่อ 28 ปีก่อน แต่ในชีวิตจริงของคนอายุ 28 ปีคนหนึ่งก็ไม่ได้จำเป็นต้องพกใบแจ้งเกิดไปสมัครงาน หรือแนบมันไว้ในโปรไฟล์สักหน่อย ทว่าสิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ สิ่งที่คนคนนี้สร้างมาตลอดเวลา 28 ปีหลังจากที่ได้แจ้งเกิดแล้วต่างหาก ที่คอยช่วยเสริมบารมีให้เป็นที่ยอมรับนับถือนิยมชมชอบ และในวันนี้เราก็ได้ประจักษ์แล้วว่า จะก่อนหรือไม่ก่อน ก็ไม่มีผลอะไรกับความสมบูรณ์แบบของคอนเสิร์ตครั้งนี้ มันก็เจ๋งของมันอย่างที่มันเป็นอยู่แล้วนั่นแล

 

เราเคยคิดอยู่เสมอว่าการโตเป็นผู้ใหญ่นี่มันช่างเจ็บปวด ปวดใจมาแล้วก็หลายเรื่อง มาจนถึงช่วงชีวิตที่เริ่มปวดกายจากการใช้งานมันมานานจนเสื่อมสภาพไปบ้างแล้วบางชิ้นก็มี ถึงแม้เราจะเข้าใจและอยู่ร่วมกับความเจ็บปวดได้มากขึ้นตามวัยวุฒิ แต่เรื่องราวเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ในตัวตนของเรา จะอยู่ลึกบ้างตื้นบ้างก็แล้วแต่เหตุปัจจัย ส่วนเรื่องดีๆ ในอดีตก็มีอยู่มากมาย เพียงแต่เราไม่ได้โฟกัสกับมันมาก เป็นธรรมดาที่เรื่องสวยงามในอดีตจะถูกตั้งทิ้งไว้เป็นอนุสาวรีย์ในจิตใจ ให้เราได้เฉียดไปมาโดยที่บางครั้งเราไม่ได้ชำเลืองไปมองมันเลยสักนิดด้วยซ้ำ ของมันดีอยู่แล้วก็ปล่อยให้ดีของมันต่อไป ไม่ขอยุ่ง แต่เมื่อไรที่เป็นเรื่องร้ายอันเหมือนมีดปักคาอก เพียงแค่เราเผลอเอาใจแวะเข้าไปแค่แป๊บเดียว กลับรู้สึกเจ็บดิ้นเหมือนเราดึงเอามีดเล่มเดิมนั้นขึ้นมาแทงจ้วงกลับเข้าไปที่แผลเดิมอย่างไม่มีเหตุผลว่าจะทำไปทำไม

 

 

ณ วันนี้เราได้ถูกบทเพลงของโมเดิร์นด็อกทำหน้าที่เป็นผัสสะ ช่วยขุดลอกและกระทุ้งหลายๆ เรื่องราวในวันวานให้ผุดขึ้นมาบนพื้นผิวของจิตใจอีกครั้ง ทั้งเรื่องดีสุดขั้วและเรื่องร้ายสุดขีด คำร้องและทำนองเพลงเหล่านั้นยังคงเหมือนเดิมทุกประการ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือใจเราเองต่างหาก บทเพลงเหล่านั้นได้ช่วยสะท้อนปฏิกิริยาของใจเราในวันนี้ที่มีต่ออดีตอีกครั้ง (ครั้งใหญ่ด้วยสิ) เพื่อให้เราได้ประเมินตัวเองว่า ‘ไหวไหม?’ 

 

อืม…ผลการประเมินออกมาดีเกินคาด หรืออาจเป็นเพราะเราห่างหายจากการสำรวจจิตใจตัวเองไปนานพอสมควร เลยไม่ค่อยได้ติดตามผล คำตอบที่ได้ในวันนี้คือ ‘เราโอเค’ เป็นคำกลางๆ ค่อนไปทางบวกที่อธิบายตัวเราได้ชัดเจนที่สุดสำหรับตอนนี้ เราไม่ได้อมรสชาติของความสุขเก่าๆ ไว้แบบหวงมาก ไม่ยอมกลืนหรือคายออก และเราสามารถอยู่ร่วมกับประสบการณ์ทุกข์ยากครั้งก่อนได้อย่างสันติ แทนที่เราจะไปผลักไสไล่มันเหมือนเมื่อวันวาน แต่เรากลับเว้นที่ว่างให้มันอยู่ของมันอย่างนั้น โดยที่ไม่เอามือไปแหย่ให้มันแว้งกัดเราได้อีก

 

กลับมาที่เรื่องคอนเสิร์ต ถ้าถามว่าโชว์นี้เป็นอย่างไรบ้าง เราคงตอบว่า ‘มันดีมากๆเลยแหละ ที่ทำให้เรารู้สึกโอเค’ เราเพิ่งจะรู้ตัวว่าเพลงของโมเดิร์นด็อกเป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ต้นเดิม ที่เราในวัยเด็กเคยใช้ยืนเทียบวัดความสูง โดยการบากรอยทิ้งไว้ตรงลำต้น แล้วกลับมาวัดอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปว่าเราสูงขึ้นเท่าไรแล้ว และตั้งแต่วันที่ร่างกายเราโตจนหยุดการขยายตัว เราก็ไม่ได้กลับไปวัดความสูงที่เดิมอีก เราอาจจะลืมไปว่าถึงแม้เราจะหยุดสูงไปนานหลายปีแล้ว แต่เรายังไม่หยุด ‘เติบโต’ และยังเติบโตต่อไปได้อีกตราบที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้นรอยบากวัดความเติบโตของเราบนลำต้นของต้นโมเดิร์นด็อกย่อมอยู่สูงเหนือความสูงของร่างกายอย่างแน่นอน และหวังว่าเมื่อเรากลับมาวัดมันอีกครั้งที่ต้นไม้ต้นเดิมต้นนี้ เราคงได้บากรอยที่อยู่เหนือจากเส้นเดิมขึ้นไปอีกเรื่อยๆ

 

ณ วันนี้ เพียงแค่เราได้สังเกตเห็นพัฒนาการการเติบโตของตัวเอง ผ่านรอยบากบนต้นโมเดิร์นด็อก ด้วยอัตราการเติบโตที่มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ช่วงชีวิต แต่มันก็เติบโตขึ้นทุกครั้งที่กลับมา เราก็แอบภูมิใจในตัวเองเล็กๆ ว่าอย่างน้อยเราก็ไม่ได้ไม่เอาถ่านไปซะทุกเรื่อง และยังคงเบ่งบานทางจิตใจต่อไปได้อีก ถึงแม้ร่างกายจะเริ่มเข้าสู่ขาลง

 

 

และสุดท้ายต้องกราบขออภัยพี่ๆ โมเดิร์นด็อก ที่บังอาจไปบากรอยไว้ที่ต้นไม้ของพี่ๆ และเราเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ทำแบบเดียวกับเรา จนต้นโมเดิร์นด็อกเต็มไปด้วยรอยบากของอีกหลายๆ ชีวิตจนเละเทะรอบลำต้นไปหมดแล้ว แต่จะว่าไปมันก็ดูเท่ดีนะครับ เป็นต้นไม้ที่ใครๆ ก็มาใช้วัดความเติบโต และถ้าคิดเล่นๆ ในอีกมุมหนึ่ง รอยบากเหล่านี้อาจจะเป็นเหตุผลเล็กๆ อีกประการหนึ่งที่มาประกอบให้ต้นโมเดิร์นด็อกมีความโดดเด่นเหนือกาลเวลาอย่างที่เป็นอยู่นี้ก็เป็นได้นะ…แล้วผมจะกลับมาบากมันอีกครับ พี่ป๊อด พี่โป้ง พี่เมธี

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising