วันนี้ (12 พฤษภาคม) ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 การปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายก่อนเข้าคูหาเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 ของพรรคก้าวไกล ภายใต้แคมเปญ ‘คำตอบสุดท้าย กาก้าวไกลทั้งแผ่นดิน’ ประชาชนและกลุ่มผู้สนับสนุนเข้าร่วมฟังการปราศรัยเต็มอาคารกีฬาเวสน์ 1 ทำให้ต้องปิดประตูตั้งแต่ก่อนเริ่มปราศรัย และให้ผู้ที่เดินทางมาหลังเวลา 18.00 น. ไปนั่งฟังการปราศรัยที่สนามฟุตบอลด้านข้างอาคารกีฬาเวสน์ 1
จากนั้นเวลา 18.00 น. ช่อ-พรรณิการ์ วานิช เปิดเวทีปราศรัยด้วยการพูดถึงเหตุผลที่เลือกจัดปราศรัยใหญ่ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ว่า เนื่องจากเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2562 หรือ 4 ปีที่แล้ว พรรคอนาคตใหม่ใช้พื้นที่นี้เป็นเวทีปราศรัยใหญ่โค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง
ก่อนจะเริ่มเข้าสู่ผู้ปราศรัยคนแรกคือ อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต ส.ส. พรรคก้าวไกล ตามด้วยพรรณิการ์และ ปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ที่ปราศรัยช่วงหนึ่งเน้นย้ำถึงการทำการเมืองด้วยความหวังที่จะต้องสู้กับการเมืองแห่งความกลัว
ขณะที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ช่วยหาเสียงของพรรค ปราศรัยช่วงหนึ่ง พูดถึงผลงานของพรรคก้าวไกลที่ทำมาในสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เป็นผลงานเด่นของพรรค ทั้งเรื่องปัญหายาเสพติด ตั๋วช้าง และเรื่องกองทัพ
ธนาธรกล่าวว่า ตนเองอยู่ที่นี่ที่เดิมเหมือนเมื่อ 4 ปีที่แล้ว แต่ปีนี้คนกลับมากกว่าเดิม 4-5 เท่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ความคิดของเราเขาฆ่าไม่ตาย และยังพูดถึงกฎหมาย ม.112 ว่า ครั้งหนึ่งเคยเป็นวาระต้องห้ามของสังคมไทย มาวันนี้กลายเป็นประเด็นที่พูดได้อย่างกว้างขวางและปลอดภัย ซึ่งมองว่า 3 ปีที่มีการยุบพรรคอนาคตใหม่ ทำให้เพดานยกขึ้น
พร้อมทั้งยังปราศรัยอีกว่า ในเวลาที่สังคมต้องการผู้นำทางการเมือง หัวหน้าพรรคเราได้แสดงภาวะนั้นให้เห็น และไม่มีหัวหน้าพรรคคนไหนกล้าทำในสิ่งที่พิธาทำ ดังนั้น 14 พฤษภาคม ขอให้ช่วยกันส่งก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และส่งพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี และนี่คืออนาคตใหม่ คือก้าวไกล นี่คือผู้คนและการเดินทาง
จากนั้นเป็นการปราศรัยของ ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ปราศรัยถึงการทำนโยบายของพรรคก้าวไกลว่า ได้รวบรวมปัญหาจากทั่วประเทศมาพัฒนาเป็นนโยบาย รวมถึงชูนโยบายรัฐสวัสดิการของพรรคที่มองว่าจะช่วยลดภาระให้คนทำงาน และเป็นจุดเริ่มต้นที่จะขอเป็นพรรคที่ทำใหม่ เน้นย้ำการสร้างงาน รวมถึงย้ำในเรื่อง 300 นโยบายของพรรคก้าวไกลว่า หากเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะดำเนินการทันที และเชื่อว่าจะทำได้อย่างแน่นอน
ด้าน ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ปราศรัยระบุว่า เราไม่เคยมีนายกฯ จริงๆ มีแต่ปลัดประเทศ ถามว่าบริหารราชการอย่างไร บอกแค่ไม่รู้ๆ 30 ปีที่แล้วบอกว่าไม่ได้รับรายงาน เมื่อชนะเลือกตั้งไปก็แบ่งเค้ก แต่หลังวิกฤตต้มยำกุ้งเรามีรัฐธรรมนูญ 40 ที่คิดว่าจะเป็นฉบับสุดท้าย ทำให้เกิดพรรคการเมืองน้องใหม่ที่ชนะถล่มทลาย เกิดนายกฯ จริงๆ ขึ้นมาได้ มีการแข่งขันตามนโยบายได้จริงๆ ส่งมอบนโยบายได้อย่างน่าประทับใจ รัฐบาลในสมัยนั้นจึงได้รับความนิยมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อำนาจของสังคมไทยจึงมาอยู่ที่การเลือกตั้งรัฐสภา ส.ส. และการเลือกตั้ง
แต่เครือข่ายอำนาจเก่าไม่อยากเห็นอำนาจจากการเลือกตั้งเป็นอำนาจสูงสุด เอาจุดอ่อนมาล่มรัฐบาล โดยชูคำขวัญว่าเราจะสู้เพื่อในหลวง ละครฉากนี้จบด้วยการรัฐประหารปี 49
เมื่อเปิดให้มีการเลือกตั้ง กลุ่มที่โดนรัฐประหารก็ได้กลับมาอีก ทำให้เกิดรัฐประหารซ้ำ โจทย์วันนี้คือ ตกลงอำนาจสูงสุดของประเทศนี้เป็นของใคร นี่จึงเป็นที่มาของการเมืองแบบอนาคตใหม่ แบบก้าวไกล ที่เราต้องการสร้างพรรคการเมืองที่ผลักดันให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนให้ได้
ในอดีตเราจึงไม่เคยเห็นการปฏิรูปกองทัพ เอาใจนายพล การเมืองเก่าเอาชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย แต่ไม่สามารถเอาชนะความคิดทางสังคมได้ ไม่เคยรักษาอำนาจของประชาชน เพราะก้าวไกลเป็นสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง เป็นพรรคที่จะไปแทนที่พลังเก่า เปลี่ยนแปลงสังคมไปด้วยกัน
และปิดท้ายเวทีปราศรัยด้วย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ปราศรัยระบุว่า พร้อมเป็นนายกฯ คนใหม่ของประเทศ ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียง 2 วันเท่านั้น ขอให้คำตอบสุดท้ายกาก้าวไกลทั้งแผ่นดิน และร่วมกันขีดเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ของไทยให้ไม่เหมือนเดิม ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็สามารถฝากความหวังและความฝันได้
ที่มารวมตัวในวันนี้ เพราะเรามีความหวังและความฝันเหมือนกัน ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เห็นว่า 4 ปีผ่านไป ความฝันของเรายังเข้มข้น และทำให้เราไม่ลืมว่าคนที่เคยจุดไฟในสายลมจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากธนาธร ปิยบุตร และพรรณิการ์ เราจะเดินหน้าให้ความฝันเป็นจริง รอวันที่เพื่อนผมกลับมา ทำตามสัญญาเป็นนายกฯ ของพวกเราทุกคน
หลายคนอาจไม่รู้ว่าความฝันของพวกเรานั้นเรียบง่าย แค่อากาศบริสุทธิ์ไว้หายใจ มีที่ดินของตัวเอง เราฝันว่าจะเห็นประเทศไทยดีขึ้น ขณะที่คนรุ่นใหญ่ของประเทศนี้คงเป็นตอนที่เกษียณ รัฐบาลจะดูแลคุณมากกว่าไข่ต้มฟองเดียว ถ้าคุณอยู่ในวัยเดียวกับตน ก็หวังว่าจะจบในช่วงเรา
เราต้องการเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชนเพื่อประชาชน อยากเห็นการกระจายอำนาจ อยากเห็นคนในจังหวัดนั้นได้แก้ไขปัญหาของตัวเอง การเลือกผู้ว่าฯ ในพื้นที่ของตัวเอง อยากมีการศึกษานอกห้องเรียน ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ฉะนั้นคนที่มาแก้ปัญหาต้องพร้อมในการแก้ไขปัญหาเก่าที่ติดหล่มมาตลอด 17 ปี และปัญหาใหม่ในอนาคต ด้วยการยุติวงจรรัฐประหารชั่วนิรันดร์ คืนระบบรัฐสภาให้กับพี่น้องประชาชน
พิธายังกล่าวอีกว่า กรณี หยก เยาวชนอายุ 15 ปีที่ถูกฟ้องมาตรา 112 ตอนนี้เขากลายเป็นผู้ต้องหามาตรา 112 ที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไทย สิ่งที่ตนต้องการพูดบนเวทีนี้อย่างมีวุฒิภาวะ อยากให้ตั้งสติ ไม่อยากให้มาตัดสินว่าหยกผิดหรือไม่
สิ่งที่หยกและคนรุ่นใหม่ต้องเผชิญมาจากการเอาประเด็นสถาบันมาโจมตีตลอดเวลา ฉะนั้นนายกรัฐมนตรีและผู้นำคนต่อไปต้องอยู่ภายใต้ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและวางฐานะอย่างเหมาะสม
“ผมพร้อมแล้วที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคนในประเทศ ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ผมก็จะเป็นนายกรัฐมนตรีของท่าน ไม่ว่าวันที่ 14 ท่านจะเลือกผมหรือไม่เลือกผม ผมพร้อมจะรับใช้ท่านและผมจะฟังคนที่เห็นต่างจากผม และจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีขึ้นจากการรับฟังความเห็นต่าง เพราะฉะนั้น 14 พฤษภาคม เข้าคูหากาก้าวไกล ให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม เลือกอนาคตอย่าเลือกอดีต เลือกด้วยความหวังไม่ใช่เลือกด้วยความกลัว คำตอบสุดท้าย ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน พร้อมย้ำจุดยืน มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง” พิธากล่าว
โดยหลังจบเวทีปราศรัยภายในอาคารกีฬาเวสน์ 1 พิธาก็มาพบมวลชนที่มาฟังการปราศรัยที่สนามฟุตบอลด้านข้างอาคารกีฬาเวสน์ 1 และปราศรัยสั้นๆ อีกครั้ง ก่อนจะปิดเวทีการปราศรัย
ทั้งนี้ ช่วงหนึ่งของการปราศรัย มวลชนตะโกน “ส้มรักพ่อ” ทำให้พิธาตอบกลับว่า พ่อก็รักส้มและพ่อก็รักฟ้าด้วย เรียกเสียงกรี๊ดดังสนั่นอาคารกีฬาเวสน์ 1