ท่ามกลางวิกฤตโควิดในปี 2020 ภาพ Marina Bay Sands (MBS) รีสอร์ตครบวงจรชื่อดังของสิงคโปร์ที่เงียบเหงาไร้เงานักท่องเที่ยว สะท้อนถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศที่หยุดชะงัก
แต่ตอนนี้เศรษฐกิจสิงคโปร์ฟื้นตัวเกือบสมบูรณ์แล้ว สองยักษ์ใหญ่คาสิโนอย่าง MBS ของ Las Vegas Sands (LVS) และ Resorts World Sentosa ของ Genting จากมาเลเซีย ไม่เพียงกลับมาเปิดให้บริการ แต่ยังทุ่มงบกว่า 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4.5 แสนล้านบาท) ขยายกิจการ ตอกย้ำความเชื่อมั่นว่าสิงคโปร์จะยังคงเป็น ‘ฮับการพนัน’ ระดับโลก
Patrick Dumont ประธานและ Chief Operating Officer (COO) ของ LVS กล่าวถึงแผนการสร้างตึกที่ 4 ของ MBS ว่า “นี่จะเป็นอาคารสำหรับการเล่นเกมและโรงแรมที่สำคัญที่สุดในโลก” อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะเพื่อนบ้านอย่างไทยและฟิลิปปินส์กำลังจ้องชิงเค้กก้อนนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- Krungthai COMPASS คาด Man-Made Destination ดึงดูดรายได้เข้าไทย 0.9% ของ GDP มอง Entertainment Complex จ่อเพิ่มการจ้างงาน ลดเศรษฐกิจนอกระบบ และกระตุ้น GDP ระยะยาว
- ‘ลอว์เรนซ์ โฮ’ Melco Resorts & Entertainment ทุนใหญ่มาเก๊า เล็งลงทุนคาสิโนถูกกฎหมายในไทยหากกฎหมายเปิดทาง
- ชมคลิป: เป็นไปได้ไหม เมืองไทยจะมีคาสิโน | Exclusive Interview EP.13
ครม. ไฟเขียวสร้างลาสเวกัสเมืองไทย!
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (13 มกราคม) คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งจะมีคาสิโน รวมถึงสวนสนุก โรงแรม และห้างสรรพสินค้า โดยโฆษกรัฐบาลกล่าวว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะถูกส่งไปยังรัฐสภาเพื่อพิจารณาวาระแรกจากทั้งหมด 3 วาระภายในเดือนเมษายน
Joshua Loh จาก Ngee Ann Polytechnic ของสิงคโปร์เตือนว่า “นักท่องเที่ยวฉลาดเลือก ถ้าพวกเขาคิดว่าเคยเห็นหมดแล้ว พวกเขาจะกระโดดไปยังจุดหมายปลายทางอื่นที่มีอะไรใหม่ๆ”
รายงานข่าวระบุว่า ล่าสุดรัฐบาลได้ประเมินกรอบเวลาการขับเคลื่อนนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร ดังนั้นหลังจาก ครม. เห็นชอบในหลักการ และส่งร่างกฎหมายให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจจะใช้เวลา 45 วัน ก่อนจะกลับมาที่ ครม. และเสนอต่อรัฐสภาในเดือนมีนาคม 2568 คาดว่าจะใช้เวลา 9 เดือน ก่อนประกาศใช้เป็นกฎหมายในไตรมาส 1 ปี 2569
ทั้งนี้ หากเป็นไปตามกรอบเวลาดังกล่าว จะทำให้คณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรศึกษาพื้นที่และประกาศเงื่อนไขการลงทุนได้ในปี 2569 หลังจากนั้นจะเปิดประมูล และคาดว่าเริ่มก่อสร้างในปี 2570 ก่อนที่รัฐบาลจะครบวาระ ซึ่งจะใช้เวลาก่อสร้าง 3-4 ปี
นักวิเคราะห์จาก Citigroup คาดการณ์ว่า ด้วยจำนวนประชากรที่นิยมการพนัน โครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวที่พร้อม และรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไทยมีโอกาสก้าวขึ้นเป็น ‘ศูนย์กลางการพนัน’ อันดับ 3 ของโลก รองจากมาเก๊าและลาสเวกัส
Rob Goldstein ซีอีโอของ LVS กล่าวถึงประเทศไทยในการแถลงผลประกอบการเมื่อปีที่แล้วว่า “ตลาดไทยน่าตื่นเต้นมากในหลายระดับ ทั้งขนาดประชากร การเข้าถึง และความพร้อมของผู้คนที่จะเดินทางมาเที่ยว ไทยเป็นจุดหมายปลายทางรีสอร์ตอันดับ 1 ในเอเชียอย่างชัดเจน เราจึงสนใจและกำลังศึกษาว่าอะไรที่เหมาะสมสำหรับเราที่นั่น”
สิงคโปร์พุ่งฝ่าวิกฤตจีนสกัดนักพนัน VIP
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยังเชื่อว่าสิงคโปร์จะครองภูมิภาคนี้ในอีก 5 ปีข้างหน้า แต่สิงคโปร์ก็เผชิญความท้าทายจากจำนวนนักพนันกระเป๋าหนักที่ลดลงจากนโยบายปราบปรามการทุจริตและเงินที่เกี่ยวข้องกับการพนันมากขึ้นของรัฐบาลจีน
Daniel Cheng ที่ปรึกษาด้านรีสอร์ตแบบครบวงจร และอดีตผู้บริหาร Hard Rock International และ Genting กล่าวว่า นักพนัน VIP จากจีนจำนวนมากถูก ‘ตัดขาด’ เนื่องจากการผลักดันการต่อต้านการทุจริตของรัฐบาล ทำให้ผู้ประกอบการรีสอร์ตต้องพยายามมากขึ้นในการมองหาบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูง ทั้งนักธุรกิจตัวจริงและมหาเศรษฐี
นับตั้งแต่เปิดให้บริการในปี 2010 รีสอร์ตครบวงจรของสิงคโปร์กลายเป็น ‘อัญมณี’ ของผู้ประกอบการ สำหรับ LVS ซึ่งขายทรัพย์สินในสหรัฐฯ ไปในปี 2022 นั้น MBS กลายเป็นแหล่งรายได้ใหญ่ที่สุดถึง 3.8 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.31 แสนล้านบาท) ในปี 2023 โดย 2.6 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท) มาจากคาสิโน คิดเป็น 37% ของยอดขายทั้งหมดของกลุ่ม
นอกจากการดึงดูดนักพนันระดับ VIP แล้ว LVS ระบุว่า การอัปเกรดที่เรียกว่า IR2 จะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มที่ชื่นชอบประสบการณ์การเล่นเกมระดับไฮเอนด์แต่ไม่ถึงขั้น VIP ซึ่งหมายถึงผู้ที่เปิดบัญชีเงินฝากกับผู้ประกอบการด้วยยอดขั้นต่ำ 1 แสนดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 2.5 ล้านบาท) กลุ่มนี้ถือเป็นเซ็กเมนต์สำคัญของผู้ประกอบการคาสิโนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากชื่นชอบสิ่งอำนวยความสะดวกหรูหราและความบันเทิงคุณภาพสูง ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ที่ไม่ใช่การพนัน
Dan Wasiolek นักวิเคราะห์หุ้นอาวุโสของ Morningstar คาดว่าตึกใหม่ของ MBS จะสร้างผลตอบแทนการลงทุนต่อปีที่ประมาณ 10-13%
ในขณะเดียวกัน Resorts World Sentosa ของ Genting ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะรีสอร์ตสำหรับครอบครัว และมี Universal Studios กำลังขยายการให้บริการระดับไฮเอนด์ และเริ่มโครงการริมน้ำที่มีโรงแรมระดับพรีเมียมใหม่ 2 แห่ง การขยายรีสอร์ตทั้งหมดจะเพิ่มพื้นที่สถานที่ท่องเที่ยวขึ้น 50%
เข้าสู่อุตสาหกรรมการพนันเพื่อแข่งเพื่อนบ้าน
ความสำเร็จอันโดดเด่นของธุรกิจรีสอร์ตคาสิโนในสิงคโปร์ได้จุดประกายให้หลายประเทศในภูมิภาคหันมาสนใจลงทุนในธุรกิจนี้ โดยตัวเลขที่ชัดเจนคือจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 9.7 ล้านคนในปี 2009 เป็น 19.1 ล้านคนในปี 2019 หรือเพิ่มขึ้นเกือบ ‘สองเท่า’ ภายในระยะเวลาเพียง 10 ปี
แม้ว่าในปีที่ผ่านมาจำนวนนักท่องเที่ยวจะยังไม่กลับมาสู่ระดับเดิมก่อนโควิด โดยอยู่ที่ประมาณ 85% แต่ที่น่าสนใจคือรายได้จากการท่องเที่ยวกลับมีแนวโน้มจะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 2.75-2.9 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 7-7.3 แสนล้านบาท) สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมนี้ได้เป็นอย่างดี
Terence Ho รองศาสตราจารย์จาก Singapore University of Social Sciences ยืนยันว่า รีสอร์ตคาสิโนจะยังคงเป็น ‘แม่เหล็ก’ สำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กับสิงคโปร์ต่อไปในอนาคต
รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผลักดันนโยบายคาสิโนรีสอร์ตด้วยเป้าหมายหลัก 2 ประการ คือการแก้ปัญหาบ่อนการพนันผิดกฎหมายที่แพร่หลายในประเทศ และการก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมการพนันเพื่อแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน
อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวกลับไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนมากนัก โดยผลสำรวจในเดือนมิถุนายนชี้ให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการเปิดคาสิโนที่ถูกกฎหมาย สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของสังคมไทยที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธและมีชนกลุ่มน้อยที่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งทั้งสองศาสนามีหลักคำสอนที่ไม่สนับสนุนการพนัน
“วัตถุประสงค์คือเพื่อเพิ่มรายได้ สนับสนุนการลงทุนในประเทศไทย และแก้ไขปัญหาการพนันที่ผิดกฎหมาย” แพทองธารกล่าวกับผู้สื่อข่าว โดยสถานที่ตั้งของคอมเพล็กซ์ที่เสนอและกำหนดเวลาสำหรับการก่อสร้างยังไม่ได้รับการประกาศ
‘ยักษ์ใหญ่คาสิโนโลก-ทุนไทย’ แห่จองคิวลงทุน
THE STANDARD WEALH ได้รับรายงานว่ามีบริษัทเอกชนต่างชาติระดับโลกสนใจลงทุนในไทย 6 ราย ประกอบด้วย
- Las Vegas Sands
- กลุ่ม Wynn Resorts
- กลุ่ม Caesars Entertainment
- กลุ่ม MGM China Holdings Limited
- กลุ่ม Hard Rock Cafe
- Melco Resorts & Entertainment
รวมถึงนักลงทุนรายใหญ่ของไทยอย่างกลุ่มราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือสนามม้านางเลิ้ง ร่วมกับบริษัท รอแยล สปอร์ต คอมเพลกซ์ จำกัด และยังมีกลุ่มบริษัท สยามพาร์คซิตี้ จำกัด หรือสวนสยาม ซึ่งแหล่งข่าวที่ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ระบุว่า “สวนสยามเป็นกลุ่มหนึ่งที่สนใจลงทุน”
Citigroup คาดการณ์ว่ารายได้จากธุรกิจการพนันของไทยอาจสูงถึง 9.1 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.14 แสนล้านบาท) ในปี 2031 แซงหน้าสิงคโปร์ที่ 8.3 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.9 หมื่นล้านบาท) โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานว่ามีการดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมการจัดสรรใบอนุญาตให้ 2 แห่งในกรุงเทพฯ และอีกเมืองละ 1 แห่งในพัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่
แผนดังกล่าวซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เล่นทั้งในและต่างประเทศ รวมถึง LVS อาจเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้ 17% ต่อปี ตามรายงานของ Krungsri Securities ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤศจิกายน ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยว 32 ล้านคน ใกล้เคียงกับสถิติทั้งปี 2019 ที่ 39 ล้านคน
ไทยเสนออัตราภาษีการพนันที่ 17% ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย เมื่อเทียบกับมาเก๊าที่เก็บภาษีสูงถึง 40% และญี่ปุ่นที่ 30% ส่วนสิงคโปร์ใช้ระบบภาษีแบบแบ่งกลุ่มลูกค้า โดยเก็บภาษีจากรายได้ที่มาจากนักพนันทั่วไปที่ 18-22% (ขึ้นอยู่กับรายได้รวมต่อปีของผู้ประกอบการ) และเก็บภาษีในอัตราพิเศษ 8-12% สำหรับรายได้ที่มาจากกลุ่มลูกค้า VIP หรือนักพนันที่ใช้เงินสูง (ขึ้นอยู่กับยอดเงินที่คาสิโนได้รับจากลูกค้ากลุ่มนี้)
“ในมุมมองของเรา รัฐบาลไทยได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างแรงหนุนที่สำคัญให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวผ่านการทำให้การเล่นเกมถูกกฎหมาย” Citigroup กล่าวในรายงานเดือนพฤศจิกายน “และความคืบหน้าในการทำให้ถูกกฎหมายอย่างรวดเร็วก็เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงสิ่งนั้น”
คาสิโนไทยสั่นสะเทือนถึง ‘กัมพูชา’
ในฟิลิปปินส์ การพนันเป็นที่ยอมรับกันดีอยู่แล้ว รีสอร์ตครบวงจรแห่งแรกเปิดให้บริการที่นั่นในปี 2009 และรายได้จากการพนันรวมของประเทศอยู่ที่ประมาณ 2.8 แสนล้านเปโซ (ประมาณ 1.65 แสนล้านบาท) ในปี 2023 ตามรายงานของ Philippine Amusement and Gaming Corporation (PAGCOR) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแล
แต่เนื่องจากการแข่งขันในระดับภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น ประธานาธิบดี Ferdinand Marcos Jr. กำลังพิจารณาอนุญาตให้เปิดรีสอร์ตคาสิโนมากขึ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
PAGCOR วางแผนที่จะออกใบอนุญาตอย่างน้อยอีก 2 ใบเพื่อสร้างรีสอร์ตในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตัวแทนบอกกับ Nikkei Asia และคาดว่าจะมีการลงทุนในภาคส่วนนี้ประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.1 แสนล้านบาท) ในอีก 5 ปีข้างหน้า
สิ่งที่น่าจับตามองคือการที่ไทยเข้าสู่ตลาดคาสิโนสร้างความเสี่ยงอย่างแท้จริงต่อคาสิโนตามแนวชายแดนของกัมพูชา ซึ่งพึ่งพานักพนันชาวไทยเป็นลูกค้า Ben Lee หุ้นส่วนผู้จัดการของบริษัทที่ปรึกษาด้านการพนัน IGamiX แนะนำว่ากัมพูชาอาจต้องทำลายการผูกขาดของ NagaWorld บริษัทสัญชาติมาเลเซียที่จดทะเบียนในฮ่องกงซึ่งมีใบอนุญาตแต่เพียงผู้เดียวในพนมเปญ หรือเสนออัตราที่แข่งขันได้มากขึ้นเพื่อความอยู่รอด
“การเปิดคาสิโนในไทยเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คำถามคือมันจะเกิดขึ้นเมื่อไรเท่านั้น และเมื่อถึงเวลานั้นกัมพูชาจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก” เขากล่าว พร้อมชี้ให้เห็นถึงคาสิโน 30-40 แห่งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา “เมื่อคาสิโนไทยกระจายไปตามจังหวัดต่างๆ คนไทยก็จะไม่ออกนอกประเทศไปกัมพูชาอีกต่อไป”
เวียดนามอนุญาตให้คาสิโนจำนวนจำกัดเปิดให้บริการส่วนใหญ่สำหรับชาวต่างชาติ ในเมืองชายทะเลตั้งแต่ไฮฟองทางตอนเหนือไปจนถึงหวุงเต่า นอกนครโฮจิมินห์ โดยประเทศคอมมิวนิสต์กำลังพิจารณาว่าจะขยายภาคส่วนนี้อย่างไรเพื่อดึงดูดการใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนในท้องถิ่นที่เล่นการพนันในต่างประเทศ
ความท้าทายคาสิโนไทย หนักสุดอยู่ที่การเมือง-กฎหมาย
ในไทย นักวิจารณ์ชี้ให้เห็นว่าความไม่มั่นคงทางการเมืองและความเสี่ยงด้านกฎระเบียบเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับผู้ประกอบการต่างชาติ Cheng ผู้เชี่ยวชาญด้านรีสอร์ตแบบครบวงจรกล่าวว่า “ไทยมีความไม่มั่นคงทางการเมือง กระบวนการออกใบอนุญาตที่ไม่ชัดเจนอาจนำไปสู่การเพิกถอนโดยรัฐบาลในอนาคต ซึ่งเป็นความเสี่ยงใหญ่สำหรับผู้ประกอบการ”
Cheng ยังระบุว่าผู้ประกอบการสหรัฐฯ ต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบ้านเกิดเพื่อลงทุนในต่างประเทศ และจุดหมายปลายทางใดๆ ที่มีความเสี่ยงด้านการฟอกเงินหรือเกี่ยวข้องกับกิจกรรมอาชญากรรมที่อาจเป็นอันตรายต่อใบอนุญาตในประเทศของพวกเขา นั่นคือเหตุผลที่ไม่มีผู้ประกอบการรายใหญ่ของสหรัฐฯ ในฟิลิปปินส์
ธุรกิจคาสิโนแบบดั้งเดิมกำลังเผชิญความท้าทายในระยะยาว สะท้อนให้เห็นจากลาสเวกัส ที่ปัจจุบันผู้ประกอบการรายใหญ่มีรายได้หลักมาจากธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่การพนัน โดยเฉพาะ MGM Resorts International ผู้ประกอบการคาสิโนอันดับ 1 ของโลก ที่มีรายได้จากธุรกิจคาสิโนใน Las Vegas Strip เพียง 2.1 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 7.35 หมื่นล้านบาท) หรือคิดเป็นแค่ 24% ของรายได้รวมทั้งหมดในสหรัฐฯ เท่านั้น
“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ‘คอนเทนต์’ ไม่ใช่แค่ตัวอาคาร” Cheng อธิบาย พร้อมยกตัวอย่างการบริการด้านความบันเทิงที่หลากหลาย เช่น โรงละครและการแสดงสดในรีสอร์ต “คุณอาจมีอาคารที่สวยงามอลังการ แต่หากไม่มีกิจกรรมความบันเทิงที่น่าสนใจ นักท่องเที่ยวก็จะมาแค่ครั้งเดียวเพื่อถ่ายรูปแล้วไม่กลับมาอีก” พร้อมทิ้งท้ายว่า “เรายังไม่พบสูตรที่เหมาะสมในเอเชีย”
อ้างอิง: