×

เศรษฐกิจ (และหุ้น) ไทยดีกว่าโลกแล้วจริงหรือ? ส่องโจทย์ใหญ่ที่ต้องก้าวข้ามสู่การเติบโตในระยะยาว

10.11.2022
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • แม้เงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นและการเข้ามาลงทุนโดยตรงของบริษัทระดับโลกอย่าง BYD และ Amazon จะเป็นข่าวดีของไทย แต่ในระยะยาวเศรษฐกิจไทยยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่น่ากังวล
  • KKP Research ประเมินว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางประชากรจะทำให้ไทยเผชิญปัญหารุนแรง ได้แก่ คนแก่ก่อนรวย ภาระการคลังด้านสาธารณสุข และการสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
  • ธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบทางลบมากที่สุดคือ ยานยนต์ การศึกษา เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ร้านอาหาร ขณะที่สุขภาพ บริการ สาธารณูปโภค จะเป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลประโยชน์
  • โจทย์ใหญ่ของภาครัฐคือการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนานวัตกรรม การแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานจากสังคมสูงอายุ และการหาทางเลือกเชิงกลยุทธ์ใหม่ให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ในช่วงที่ผ่านมาเราเริ่มเห็นสัญญาณการกลับเข้ามาลงทุนในไทยของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งจากการกลับเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นในตลาดหลักทรัพย์มากถึงกว่า 1.5 แสนล้านบาท นับตั้งแต่ต้นปี 2022 นอกจากนี้ยังเริ่มเห็นข้อตกลงการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น เช่น BYD เพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้า หรือ Amazon Web Service เพื่อทำ Data Center ซึ่งนับเป็นข่าวดีอย่างยิ่งสำหรับประเทศ

 

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่หลายฝ่ายสรุปว่าการกลับเข้ามาของต่างชาติเช่นนี้สะท้อนภาวะเศรษฐกิจไทยที่ปรับตัวดีขึ้น KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ได้ออกบทวิเคราะห์ โดยประเมินว่าสถานการณ์ของเศรษฐกิจไทยยังไม่ได้ปรับตัวดีขึ้นมากนักหากมองในมุมกว้าง อีกทั้งยังมีแนวโน้มน่ากังวลในระยะยาว โดยระบุสาเหตุเอาไว้ดังต่อไปนี้


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


 

  1. การกลับเข้ามาซื้อหุ้นสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในปีนี้เกิดขึ้นจากผลตอบแทนของการลงทุนในตลาดหุ้นโลกและจีนที่ปรับตัวลดลงอย่างมาก เนื่องจากเศรษฐกิจและตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นไปค่อนข้างมากก่อนหน้านี้ ในขณะที่เศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นไทยแทบยังไม่ฟื้นตัว ทำให้โดยเปรียบเทียบแล้วในปีนี้ตลาดหุ้นไทยดูจะให้อัตราผลตอบแทนดีกว่า จนนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจไทยมากกว่าจีนและโลก

 

ด้วยเหตุนี้ เงินที่ไหลเข้าไทยในช่วงนี้จึงไม่ได้สะท้อนถึงการปรับตัวดีขึ้นของปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจโดยตรง และหากตลาดหุ้นโลกกลับมาเติบโตได้ดี เงินก็สามารถไหลออกจากประเทศได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อย้อนดูตัวเลข จะเห็นแนวโน้มการขายหุ้นในไทยต่อเนื่อง 8 ปี มูลค่ากว่า 9 แสนล้านบาท

 

  1. แม้ประเทศไทยจะได้รับเม็ดเงินลงทุนทางตรงมากขึ้นในปีนี้ แต่ไทยมีสัดส่วนการลงทุนทางตรงจากต่างชาติที่ลดลงมาตลอดเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน KKP Research เคยออกรายงานประเมินว่าความน่าสนใจของไทยต่อนักลงทุนต่างชาติลดลงเรื่อยๆ แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเงินลงทุนเข้ามาเลย ในทางกลับกัน แม้ในช่วงที่ผ่านมาไทยได้ประโยชน์จากการลงทุนของต่างชาติบ้าง แต่แนวโน้มยังน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งน่ากังวล เพราะการลงทุนทางตรงเป็นการลงทุนระยะยาว ซึ่งสะท้อนถึงพื้นฐานเศรษฐกิจมากกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น

 

  1. ต่างชาติมีแนวโน้มเลิกกิจการในไทยเพิ่มมากขึ้น มูลค่ากว่า 31,000 ล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ปี 2010-2022 นอกเหนือจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ในช่วงที่ผ่านมาเราเห็นธุรกิจต่างประเทศเริ่มถอนการลงทุนออกจากไทย เช่น ธุรกิจโทรคมนาคม ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจรายย่อยของภาคธนาคาร หรือแม้แต่ข่าวที่โรงงานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เริ่มย้ายออกจากประเทศไทย

 

ไม่ใช่แค่ต่างชาติ แต่คนไทยก็ลงทุนในไทยลดลงเรื่อยๆ

บริษัทไทยมีการออกไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนใน ASEAN และ EU ในขณะที่นักลงทุนในตลาดการเงินมีการซื้อกองทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นและให้ความสนใจหุ้นไทยลดลงต่อเนื่องเช่นกัน โดยจะเห็นตัวเลขการซื้อกองทุนในกลุ่มหุ้นในประเทศลดลงอย่างมาก จากซื้อสุทธิเฉลี่ย 78,000 ล้านบาท ในปี 2013-2019 มาเป็นขายสุทธิ 38,000 ล้านบาท ในช่วงปี 2020-2022 ขณะที่การซื้อกองทุนหุ้นต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยประมาณ 37,000 ล้านบาท ในปี 2013-2019 มาเป็นถึง 183,000 ล้านบาท ในปี 2020-2022 สะท้อนภาพชัดเจนว่าผลตอบแทนของการลงทุนที่อยู่ในระดับต่ำมาเป็นเวลานานทำให้แม้แต่นักลงทุนไทยก็ให้ความสนใจกับการลงทุนในต่างประเทศมากกว่าการลงทุนในไทย

 

ทศวรรษที่หายไปของเศรษฐกิจไทย

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสำคัญเชิงโครงสร้างในหลายมิติ เมื่อมองไปข้างหน้าโครงสร้างประชากรไทยกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล โดยประชากรในกลุ่มสูงอายุมากกว่า 75 ปี จะเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึงกว่า 3.5 ล้านคน ในอีก 8 ปีข้างหน้า ในขณะที่ประชากรวัยเด็กและวัยทำงานจะลดลงกว่า 3.6 ล้านคน ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจอย่างเลี่ยงไม่ได้คือความสามารถในการเติบโตของเศรษฐกิจที่จะลดลง

 

ซึ่งในกรณีของไทยจะเจอปัญหาที่รุนแรงกว่าในประเทศพัฒนาแล้วคือ

 

  1. ประเทศไทยเจอปัญหา ‘แก่ก่อนรวย’ และปัญหาความเหลื่อมล้ำจะทวีความรุนแรงขึ้น
  2. ภาระทางการคลังสำหรับคนสูงอายุจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 10 ปีข้างหน้า
  3. ความสามารถในการแข่งขันในภาคการผลิตจะปรับตัวแย่ลงอย่างมากจากกำลังแรงงานที่ขาดแคลน

 

ในขณะที่ฝั่งของนโยบายในประเทศไทยมีการพัฒนาที่ช้ามากเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ประกอบกับสภาพแวดล้อมของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป จะทำให้ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศอันดับ 1 ของภูมิภาคอีกต่อไป ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือรายได้ต่อหัวของไทยเติบโตได้ช้ามากที่สุดประเทศหนึ่งในอาเซียน คือเติบโตเฉลี่ยเพียง 1.4% ต่อปีเท่านั้น ในช่วงปี 2014-2021

 

ในมิติอื่นๆ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งอย่างอินโดนีเซีย จะพบว่าในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยไม่ได้ปรับตัวดีขึ้นหรือปรับตัวแย่ลง ในขณะที่อินโดนีเซียมีการพัฒนาในทิศทางที่ดีขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ จากข้อมูลของ World Bank การควบคุมปัญหาคอร์รัปชันที่อินโดนีเซียเคยแย่กว่าไทยมาก แต่สามารถพัฒนาขึ้นมาจนแซงประเทศไทยได้แล้ว การเตรียมความพร้อมด้านทักษะแรงงานที่เริ่มพัฒนาขึ้นจนดีกว่าประเทศไทย

 

นอกจากนี้แนวโน้มของโลกที่เข้าสู่ยุค Deglobalization โดยเฉพาะปัญหาเรื่องความมั่นคงของวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิต เริ่มทำให้เห็นกระแสการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ หรือไปสู่ประเทศที่มีแร่สำคัญที่ใช้ในการผลิตโดยตรง ซึ่งจะเริ่มทำให้ไทยได้รับประโยชน์จากการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งไทยเคยพึ่งพาเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจในอดีต

 

ธุรกิจไหนตาย ธุรกิจไหนรอด

ข้อมูลด้านการลงทุนในหลายมิติกำลังสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศที่ทำให้ตลาดในประเทศมีการเติบโตอยู่ในระดับต่ำ ธุรกิจไทยในช่วง 10 ปีหลังจากนี้ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายเศรษฐกิจอย่างชัดเจน จะก้าวเข้าสู่ยุคที่มีความท้าทายมากขึ้นและธุรกิจที่เคยเติบโตได้จะเริ่มปิดตัวลง

 

KKP Research ประเมินว่า ธุรกิจไทยกำลังจะมีโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาลตามโครงสร้างประชากร โดยจากโครงสร้างประชากรธุรกิจที่อาศัยอุปสงค์จากกลุ่มคนวัยเด็ก วัยทำงาน วัยสร้างครอบครัว และวัยกลางคน จะมีอุปสงค์ที่ลดลงอย่างมาก โดยหดตัวลงถึงประมาณ 10% ในขณะที่กลุ่มธุรกิจที่พึ่งพาอุปสงค์จากคนสูงอายุจะเติบโตขึ้นอย่างมาก โดยตลาดจะขยายตัวมากกว่า 30%

 

โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทางลบมากที่สุดคือ ยานยนต์ การศึกษา เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ร้านอาหาร ตัวอย่างที่เห็นได้ค่อนข้างชัดคือ ในช่วงที่ผ่านมามหาวิทยาลัยเริ่มมีการปิดตัวบางสาขาจากจำนวนนักศึกษาที่ลดลง ในขณะที่ธุรกิจที่จะมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นมากที่สุดคือ สุขภาพ บริการ สาธารณูปโภค ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ผู้สูงอายุมีความต้องการมากที่สุด

 

สอดคล้องกับตัวเลขการขายหุ้นของนักลงทุนที่มีการขายสุทธิระหว่างปี 2015-2019 ในบางกลุ่มธุรกิจซึ่งได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของไทย เช่น ภาคอุตสาหกรรม ธนาคาร สินค้าอุปโภคบริโภค ตอกย้ำว่าการขายหุ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวที่ทำให้เศรษฐกิจและธุรกิจหลายกลุ่มในไทยชะลอตัวลง

 

5 การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ

5 การเปลี่ยนแปลงสำคัญที่จะส่งผลอย่างมากต่อธุรกิจในประเทศไทยคือ

 

  1. การเปลี่ยนแปลงจากธุรกิจสำหรับเด็กไปสู่ธุรกิจสำหรับคนสูงอายุ ธุรกิจสำหรับเด็ก เช่น โรงเรียนจะหดตัว ธุรกิจสำหรับคนสูงอายุ เช่น โรงพยาบาล จะขยายตัวอย่างมาก

 

  1. การเปลี่ยนผ่านจากภาคอุตสาหกรรมสู่ภาคบริการ ในปี 2050 แรงงานไทยจะมีจำนวนลดลง 11.5 ล้านคน ซึ่งจะส่งผลให้ไทยไม่สามารถเป็นฐานการผลิตในภาคอุตสาหกรรมได้

 

  1. จากนอกเมืองสู่เมืองใหญ่ ประชากรที่ลดลงจะทำให้หลายพื้นที่ในประเทศไทยไม่สามารถรักษาความเป็นเมืองเอาไว้ได้ และมีโอกาสเกิด Oversupply ในตลาดอสังหาริมทรัพย์

 

  1. จากความต้องการเงินกู้เพื่อครอบครัวและธุรกิจ สู่ความต้องการบริการด้านการเงินเพื่อจัดการความมั่งคั่งเพื่อเตรียมเกษียณอายุ

 

  1. จากเงินบาทแข็งค่าสู่ความเสี่ยงเงินบาทอ่อนค่า จากการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในภาคการผลิต

 

ทิศทางนโยบาย

KKP Research ประเมินว่า โจทย์ใหญ่สำคัญนอกจากการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมแล้ว ประเด็นสำคัญที่ประเทศไทยจะต้องก้าวผ่านคือการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานจากสังคมผู้สูงอายุ และการหาทางเลือกเชิงกลยุทธ์ใหม่กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาวคือ

 

  1. ภาครัฐต้องพิจารณาเปิดเสรีนโยบายการย้ายถิ่นฐาน (Immigration Policy) เพื่อชดเชยปัญหาการขาดแคลนแรงงานทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานที่มีทักษะ

 

  1. การเปิดเสรีในภาคบริการเพื่อชดเชยการชะลอตัวของภาคอุตสาหกรรม ในอนาคตค่อนข้างชัดเจนว่าภาคอุตสาหกรรมไทยจะมีทิศทางที่ชะลอตัวลง จากทั้งการเปลี่ยนแปลงในประเทศและการเปลี่ยนแปลงบริบทของโลกาภิวัตน์ในระดับโลก การแข่งขันในภาคบริการจะช่วยส่งเสริมการลงทุนและยกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคบริการไทย

 

  1. การปฏิรูปทางการเมืองเพื่อลดปัญหาคอร์รัปชันและเพิ่มการแข่งขัน การพัฒนาในเรื่องอื่นๆ จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่มีการปฏิรูปสถาบันการเมืองที่นำไปสู่การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น การเปิดโอกาสให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม และการลดการคอร์รัปชัน จะเป็นทางออกสำคัญของเศรษฐกิจไทย
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising