ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET) ร่วงลงกว่า 30 จุด ในช่วงครึ่งวันทำการแรก แตะระดับ 1,363.44 จุด หรือลดลง 32.94 จุด จากวันทำการก่อนหน้า ทำจุดต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ และถือเป็นวันที่ดัชนีหุ้นไทยติดลบมากที่สุดตั้งแต่เข้าสู่ปี 2567 และครั้งสุดท้ายที่หุ้นไทยติดลบถึง 30 จุดในหนึ่งวัน ต้องย้อนกลับไปเมื่อเดือนตุลาคม 2566
กลุ่มหุ้นที่กดดันดัชนีมากที่สุดในวันนี้ ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์, อิเล็กทรอนิกส์, พาณิชย์ และพลังงาน โดยหุ้นที่กดดันดัชนีมากที่สุดคือ บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA รองลงมาคือ บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB
สรพล วีระเมธีกุล หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า แรงกดดันสำคัญต่อหุ้นไทยมาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ทั้งจากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ที่พุ่งขึ้นแตะ 4.35% ทำให้ผลตอบแทนชดเชยความเสี่ยง (Equity Risk Premium) ติดลบ และต่ำสุดในรอบ 22 ปี หลังจากที่ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ออกมาดี ทำให้นักลงทุนในตลาดคาดการณ์ว่าการลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะชะลอออกไปเป็นเดือนกรกฎาคม และจำนวนครั้งของการลดจะลดลงเหลือ 2 ครั้งในปีนี้
อีกปัจจัยลบที่เข้ามาคือความเสี่ยงสงคราม จากความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ซึ่งมีความเสี่ยงที่อาจยืดเยื้อไปจนถึงช่วงเลือกตั้งสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน
“สถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลโดยตรงต่อราคาน้ำมัน และส่งผลทางอ้อมต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ เช่น ทองแดง โลหะ ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะส่งผลไปยังเงินเฟ้อให้กลับมาสูงขึ้น”
ล่าสุด ราคาน้ำมันดิบ WTI เฉลี่ยเดือนเมษายนปีนี้ พุ่งขึ้นเหนือ 85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงกว่าปีก่อนราว 7.7%
สรพลกล่าวต่อว่า จากความเสี่ยงดังกล่าวทำให้หุ้นไทยมีโอกาสจะร่วงลงต่ำกว่าแนวรับเดิมที่บริเวณ 1,355 จุด ไปหาแนวรับถัดไปบริเวณ 1,310-1,330 จุด ซึ่งจะเป็นจุดต่ำสุดใหม่ในรอบ 3 ปีครึ่ง
อย่างไรก็ดี ปัจจัยในประเทศเริ่มเป็นบวกมากขึ้น ทั้งจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐฯ การท่องเที่ยว และการส่งออก
เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น แนะนำนักลงทุนโฟกัสหุ้นที่ผลประกอบการไตรมาสแรกน่าจะออกมาดี เช่น ADVANC, MINT, AAI หรือหุ้นที่ป้องกันความเสี่ยงจากภาวะสงคราม เช่น PTTEP และ BH รวมทั้งหุ้นที่อาจได้ประโยชน์จาก Entertainment Complex เช่น VGI และ OSP