×

คุยกับ ‘เด็จพี่ พร้อมพงศ์’ ไม่มีตำแหน่ง มาสร้างตำนาน และคำแนะนำถึงพรรคก้าวไกล

27.09.2023
  • LOADING...
พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD

THE STANDARD สัมภาษณ์ พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ผู้มีฉายา ‘เด็จพี่’ อดีตดารานักแสดงทั้งจอเงินจอแก้วในสมัยก่อนมีโซเชียลมีเดีย อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทยยุคก่อนรัฐประหาร 2557 อดีตนักโทษในคดีหมิ่นประมาท วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ 

 

ล่าสุด ‘เด็จพี่’ ปรากฏตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง หลังพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ โดยร่วมคณะกับ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อม นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในภารกิจแรกๆ ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย คือลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตในฐานะ ‘เด็จพี่’ เป็นนักการเมืองพื้นที่ภาคใต้ แม้ปัจจุบันจะถูกตัดสิทธิ 10 ปี เหลืออีก 2 ปีจึงจะสามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้อีกครั้ง

 

 

เป็นนักแสดง ก่อนมาเป็นนักการเมือง 

 

ผมเกิดปี 2504 คือยุคผมเมื่อก่อนแรกๆ ตอนอายุประมาณ 21-22 ปี ยุคแรกภาพยนตร์จอเงินคือโรงหนัง ส่วนจอแก้วยังมีไม่เท่าไรนะ 

 

พอยุคต่อมาเทคโนโลยีเริ่มเปลี่ยน คนก็เริ่มมาดูจอแก้วคือทีวี ส่วนจอเงินคือโรงหนังคนดูน้อยลง โลกเปลี่ยน เทคโนโลยีเปลี่ยน มีการดิสรัปต์กัน พอหนังน้อยลง นักแสดงก็มาเล่นละครทีวีกัน ดาราภาพยนตร์ไทยก็มาเล่นละครในทีวี เพราะทีวีผู้ชมดูฟรี ส่วนภาพยนตร์ต้องไปดูที่โรงหนัง ต้องไปซื้อตั๋ว ต้องไปเข้าคิว ความสะดวกแตกต่างกัน สมัยก่อนหนังผมเวลาไปโชว์ตัวมีคนดูเยอะมากเพราะคนเห็นตัวได้ยาก

 

ยุคผมเล่นหนังกับ จารุณี สุขสวัสดิ์ เขาเรียกคู่ขวัญ ยุคแรก มิตร ชัยบัญชา ที่เล่นหนัง อินทรีแดง แสดงหนังรุ่นอาวุโสเลย ดังมาก เริ่มจากมิตร ชัยบัญชาก่อน

ต่อมา สมบัติ เมทะนี – เพชรา เชาวราษฎร์ 

ต่อมา สรพงศ์ ชาตรี – เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์

แล้วก็มี ทูน หิรัญทรัพย์ – จารุณี สุขสวัสดิ์

แล้วยุคผม พร้อมพงศ์ – จารุณี ในยุคหนึ่ง 

แล้วก็มี สันติสุข พรหมศิริ – จินตหรา สุขพัฒน์ ต่อกันเป็นยุคๆ

ผมมาในยุคลูกศิษย์พี่เอก-สรพงศ์ ชาตรี

 

เมื่อก่อนเล่นจอเงินภาพยนตร์ไทย ตอนหลังมาเล่นเป็นจอแก้ว ก็หลากหลายช่อง นักแสดงก็แบ่งเป็นช่องเลยทีนี้ ผมอยู่ช่อง 7 เป็นหลัก แล้วก็มีไปช่องอื่นบ้าง 

 

เล่นหนังเล่นละครมา 29 ปี เล่นไป 129 เรื่อง

 

เล่นหนังเล่นละครมาเยอะ ไม่ใช่เฉพาะละครจักรๆ วงศ์ๆ 

 

เยอะเลยละครตอนเย็นบ้าง กลางคืนบ้าง ละครหลังข่าวก็มี เล่นหมด หลักๆ อยู่ช่อง 7 แล้วข้ามไปช่อง 3 บ้าง 

 

เล่นละครหลากหลาย แต่ตอนหลังเขาอาจเห็นหน้าผมเป็นไทยๆ อาหรั่ง-ไพรัช สังวริบุตร ก็ดึงผมไปเล่นจักรๆ วงศ์ๆ เขามองว่าหน้าดูไทยๆ 

 

 

ที่มาฉายา ‘เด็จพี่’

 

จริงๆ แล้วไม่ได้ถูกเรียกมาตั้งแต่เล่นละคร แต่มาถูกเรียกช่วงเป็นโฆษกพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นฝ่ายค้านยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตอนปี 2552-2553 ตอนนั้นม็อบคนเสื้อแดงชุมนุมให้อภิสิทธิ์ยุบสภา แล้วรัฐบาลออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีทหารล้อมเต็มทำเนียบ แล้วผมเป็นโฆษกพรรคเพื่อไทย ก็ไปยื่นหนังสือ 

 

แถลงข่าววันนี้พรุ่งนี้ผมก็ไปยื่น ถูกกีดกันไม่ให้เข้าทำเนียบรัฐบาล แต่ผมก็โผล่ไปทุกครั้ง ตอนนั้นผมก็ถูกนักข่าวเรียก ‘เด็จพี่’ บางช่วงเป็น ‘พร้อมพงศ์พร้อมซอง’ คือตอนนั้นถือหนังสือต่างๆ ไปยื่นแทบทุกวัน เรียกร้องให้ยุบสภา ไม่ให้รัฐบาลจำกัดสิทธิประชาชน 

 

ผมเดินถือซองเข้าไปทั้งที่มีทหารพร้อมปืน ช่วง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

 

ถูกตัดสิทธิการเมืองนับแต่ปีไหน

 

หลังจากที่เราถูกตัดสินจำคุกแล้วพ้นจากคดีเมื่อปี 2559 ในเดือนพฤษภาคม ได้รับการพักโทษต้องนับตั้งแต่ปี 2559 ก็ใกล้จะครบ 10 ปี 

 

โทษผมถ้าตามรัฐธรรมนูญปี 2540 กับ 2550 คดีผมเป็นคดีประเภทลหุโทษ เช่น หมิ่นประมาท ประมาท แล้วก็ลหุโทษ ถือว่าไม่ถูกตัดสิทธิ แต่พอรัฐธรรมนูญ 2560 เราถูก คสช. ยึดอำนาจ ปี 2557 เวลาเขาเขียนรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 เขาก็ใส่ล็อกล้อพวกเรา มีการล็อกล้อ คดีหมิ่นประมาทก็คือรวมอยู่ในนั้น ถูกตัดสิทธิ 10 ปีด้วย

 

ฉะนั้นถึงบอกว่าพวกผมถูกกระทำ สู้จริง เจ็บจริง เสียสิทธิจริง เสียอนาคตจริง แล้วเพื่อนผมตอนถูกสลายการชุมนุมปี 2553 ก็ตายไป 2 ศพ ใน 99 ศพ เป็นเพื่อนที่รู้จักกันจากการที่เขามาต่อสู้ทางการเมือง ก็สนิทกัน เขามีอุดมการณ์ แล้วหลังสลายการชุมนุมแล้วมีประชาชนเสียชีวิต ตอนมีการประกาศให้คนออกจากวัดปทุมวนารามฯ ผมก็ไปรับประชาชนช่วงเช้า ไปกับ สส. เพื่อไทยบางคน มีประชาชนหลายคนออกมาจากวัดปทุมวนารามฯ

 

 

เข้าพรรคเพื่อไทยตั้งแต่ยุคไหน

 

ผมมีความศรัทธาพรรคตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ซึ่งมี ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้นำ ทำให้ประชาธิปไตยกินได้ 

 

ผมมองประชาธิปัตย์เป็นแนวอนุรักษนิยม ส่วนพรรคไทยรักไทยเป็นเสรีนิยม 

 

ตอนแรกเข้ามาไทยรักไทย ผมช่วยอยู่ในทีมท่านยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำไทยรักไทย ก่อนจะถูกรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แล้วหลังรัฐประหาร พรรคไทยรักไทยถูกยุบ ก็เกิดพรรคพลังประชาชน 

 

ผมก็เข้ามาเป็นสมาชิก ลงสมัครรับเลือกตั้ง สส. เขตที่จังหวัดพังงา ปี 2550 ครั้งนั้นยังไม่ได้เป็น สส. แต่ได้คะแนนอันดับ 3 ส่วนอันดับ 1-2 คือประชาธิปัตย์

 

ผู้ใหญ่ในพรรคก็บอกว่าคนใต้กระแสแรง คนเลือกประชาธิปัตย์ ความจริงมีคนอยากให้ผมลงที่กรุงเทพฯ ผมเป็นดาราเล่นหนังเล่นละครมา 29 ปี เล่นไป 129 เรื่อง ถ้าลงกรุงเทพฯ คนจะรู้จัก แต่ตอนนั้นผมก็อยากลงในพื้นที่บ้านเกิด อยากพัฒนาบ้านเกิดตัวเอง

 

ตอนพลังประชาชนถูกยุบ สมัคร สุนทรเวช นายกฯ ทำกับข้าวออกทีวี 

 

หลังจากนั้น สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ มาถูกยุบพรรคอีก ผมก็มาอยู่พรรคเพื่อไทย โดยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล มีการตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ในค่ายทหาร 

 

กรรมการบริหารและโฆษกพรรคเพื่อไทย ก่อนรัฐประหาร 2557

 

ผมเป็นกรรมการบริหารและโฆษกพรรคเพื่อไทยในยุคแรก เคยเป็น สส. ปี 2554-2557 อยู่มาจนถึงรัฐประหาร ถูกรัฐประหาร 2557 ต่อมาผมโดนคดีปี 2558 คืออยู่พรรคเพื่อไทยมาตลอด แม้หัวหน้าพรรคเปลี่ยนหลายคน เลขาธิการพรรคเปลี่ยนหลายคน แต่ผมอยู่ตำแหน่งเดิมมาตลอด 

 

ปี 2557 ถูกจับไปขังในค่ายทหารที่จังหวัดปราจีนบุรี วันรัฐประหารผมก็อยู่ในห้องประชุมที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจ 

 

ตอนนั้นผมไปกับ ท่าน อ.ชัยเกษม นิติสิริ, ท่านวราเทพ รัตนากร, ท่านเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช, ท่าน อ.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ตอนนั้นเป็น รมว.คมนาคม และท่านทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รวม 6 คน ถูกมัดมือ ถุงคลุมหัวเป็นผ้าสีดำมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น หายใจได้แต่อึดอัด 

 

เขาเอาไปขัง แล้วก็ลากขึ้นรถ ชุดผมเรียกว่า VVIP ผมเป็นตัวแทนพรรค แต่ถูกจับไปพร้อม ครม. คือ ครม. มี 5 บวกผมอีกคนเป็น 6 

 

เขาเอาไปขังในห้องสี่เหลี่ยมติดผ้าดำหมด ไม่มีพัดลม ถามอะไรทหารเขาก็ไม่ตอบ เขาคงได้รับคำสั่ง เราถามว่าจะติดต่อทางบ้านได้ไหม จะติดต่อญาติได้ไหม เรารู้ว่าการถูกควบคุมตัวจากการรัฐประหารกฎหมายให้คุมตัวได้ 7 วัน ซึ่งเราต้องได้รับสิทธิบ้าง แต่ตอนนั้นเขาก็ไม่ตอบ เขาขังรวมอยู่แบบนั้น 6 วัน พอวันที่ 7 ถึงเจอท่าน อ.ชัชชาติ บ้านที่ผมถูกขังจะมีผม มีท่านชัชชาติ แล้วก็ท่านทนุศักดิ์ เล็กอุทัย บ้านผมอยู่  3 คน รู้ว่ามีใครบ้าง เพราะได้ยินเสียงเคาะผนังบอกทหารว่าจะขอเข้าห้องน้ำ เราได้ยินเสียงท่านชัชชาติ ท่านทนุศักดิ์ เราจำเสียงได้ 

 

เขาแบ่งบ้านเป็น 2 หลัง บ้านที่ขัง อ.ชัยเกษม จะเป็นอีกหลังหนึ่ง

 

บ้านที่ขังเขาปิดหมด เขาไม่ต้องการให้เรารู้ว่าอยู่ที่ไหน เครื่องมือสื่อสารเราก็ถูกยึด ในวันที่ 7 เมื่อจับแกนนำได้หมดสถานการณ์คงจะผ่อนคลาย เขาก็ให้เราลงไปเจอกันตอนไปกินข้าวข้างล่าง แต่ยังถูกควบคุมโดยทหาร 24 ชั่วโมง 6 วันแรกไม่ได้เจอกัน เพียงแต่รู้ว่าอยู่คนละห้องเพราะได้ยินเสียงเคาะเรียกทหาร 

 

วันที่ 7 ก็มีการทยอยปล่อยออกจากที่ควบคุมตัว ซึ่งเป็นบ้านพักทหาร ในค่ายทหาร บ้านผมก็มีท่านทนุศักดิ์กับท่านชัชชาติได้รับการปล่อยตัวไปก่อน ส่วนผมคุมตัวเกินไปอีก 1 วัน ได้รับการปล่อยวันที่ 8 โดยทหารบอกว่าเขาลืม ไม่รู้เขาแกล้งพูดหรือเปล่า ผมคิดว่าเขาอาจรอคำสั่ง 

 

ตอนกลับเขาก็คลุมหัวกลับเหมือนกัน แต่ผมคาดว่าเป็นค่ายทหารในจังหวัดปราจีนบุรี 

 

 

คดีที่จำคุกปี 2558 ถูกตัดสิทธิ 10 ปี 

 

คดีที่ผมถูกตัดสิน ผมสู้เรื่องความยุติธรรม 2 มาตรฐาน พูดเรื่องพรรคประชาธิปัตย์ แล้วโดนคดีหมิ่นประมาท โจทก์คือ วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ 

 

หลังรัฐประหาร 2557 ในยุครัฐบาล คสช. ปี 2558 ผมถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 1 ปี ติดคุก 9 เดือน ได้รับการพักโทษ ตอนนั้นไม่มีช่วงพระราชทานอภัยโทษ ในคุกรุ่นนั้นเจอ จ่าประสิทธิ์ ไชยศรีษะ, สมยศ พฤกษาเกษมสุข, ฝ่ายพันธมิตรฯ ก็มี ไทกร พลสุวรรณ อยู่เรือนจำแดนเดียวกัน แล้วก็เจอ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์, เสธ.หิมาลัย ผิวพรรณ

 

ส่วนหมอเลี้ยบ-สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ก็เข้าไปเรือนจำทีหลัง 

 

ผมเข้าไปก่อนรุ่นหมอเลี้ยบ และก่อนรุ่น รังสิมันต์ โรม กับ ไผ่ ดาวดิน จะเข้าไป 

 

หลังเลือกตั้ง 2566 ด้วยเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญและผลคะแนน ทำให้เพื่อไทยเป็นรัฐบาลผสม โดยจับมือกับพรรคที่เคยอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน ส่วนตัวมองอย่างไร เปลี่ยนขั้วเปลี่ยนอุดมการณ์ไปแล้วหรือไม่ 

 

ผมมองว่าฝ่ายอำนาจนิยมเขาวางกับดักไว้ในรัฐธรรมนูญ เราก็เห็นว่ามี สว. 250 เสียง เปรียบง่ายๆ เหมือนกับพรรคหนึ่ง เป็นพรรคของฝ่ายอำนาจนิยมเขา เพราะฉะนั้นวันนี้เราชนะอย่างไรถ้าไม่ได้ถึง 400 เสียงไม่ชนะ 376 เสียงฝ่ายประชาธิปไตยเราก็เป็นรัฐบาลไม่ได้

 

หลักเกณฑ์เราก็เห็นแล้วว่า เรารวม 8 พรรคแล้ว ย้อนไปปี 2562 เราก็เป็นแบบนี้ เราก็ทำก่อน ตอนนั้นเพื่อไทยได้ สส. ที่ 1 ด้วยนะ 

 

อนาคตใหม่ได้ สส. อันดับ 3 แต่พอเรารวมเสียงแล้วเราสู้ 3 ป. พล.อ. ประยุทธ์ ไม่ได้ เพราะเขามี สว. เหมือนเป็นอีกพรรคหนึ่ง เพราะกฎหมายกำหนดว่าต้องรวมเสียงสมาชิกรัฐสภาให้ได้ 376 เสียง แล้วจึงจะเป็นนายกฯ เราก็รวมแล้วสู้ไม่ได้ 

 

ตอนนั้นปี 2562 พรรคเพื่อไทยก็โหวตให้คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พรรคอนาคตใหม่ เป็นนายกฯ ทั้งที่เรามีแคนดิเดตครบ 3 คนนะ เรามีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, อ.ชัยเกษม และ อ.ชัชชาติ 

 

แต่เราก็มีวุฒิภาวะให้ความร่วมมือพรรคอนาคตใหม่ แม้เรารู้ว่าโหวตอย่างไรฝ่ายนี้ก็ยังไม่ผ่าน เราก็โหวตให้คุณธนาธร สุดท้ายก็ไม่ผ่าน 

 

พอปี 2566 ก็อีหรอบเดิม พอรวม 8 พรรคก็ยังไม่ถึง 376 เสียง พรรคเพื่อไทยโหวตให้คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แล้วในการประชุมรัฐสภาครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ก็โหวตให้หมออ๋อง-ปดิพัทธ์ สันติภาดา เป็นรองประธานคนที่ 1 แล้ว 

 

แล้วเราไม่ใช่ตระบัดสัตย์หรือสลายขั้ว เขาต้องเข้าใจบริบทว่าวันนี้ทำแล้วทำไม่ได้ คือฝ่ายที่เขาถืออำนาจอย่าง สว. เขาบอกว่าถ้าก้าวไกลไม่ยกเลิกการแก้มาตรา 112 เขาไม่โหวตให้ แต่ก้าวไกลยังยืนยันแก้ไขมาตรา 112 อยู่ 

 

ส่วนกลุ่มพรรครัฐบาลเดิมเขาก็บอกถ้าก้าวไกลไม่ถอย 112 เขาไม่โหวตให้ แล้วก้าวไกลมีคนที่มีแนวคิดจะเปลี่ยนวันชาติอีก เป็นเหตุการณ์ระหว่างจัดตั้งรัฐบาลกัน ก็ทำให้ฝ่ายนั้นเกิดความระแวง 

 

แล้วตอนก้าวไกลเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล 8 พรรค ก็มีข่าวคุณพิธายืนยันเสียงครบ คุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ก็ยืนยันเสียงพอ คุณศิริกัญญา ตันสกุล ก็บอกว่าครบ ได้เสียงถึงแน่ 

 

ทางเราฟังแล้วก็มั่นใจ บวกกับทางฝ่ายพรรคเพื่อไทยก็ช่วยเจรจาเพื่อเพิ่มเสียงในสภา อย่างผม อย่างคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็ช่วยเจรจา สว. หรือสนิทกับใครเราก็ช่วยเจรจา เพราะคนทำการเมืองต้องมีพี่มีน้อง การเมืองต้องนกมีขน คนมีเพื่อน มีพรรคพวก 

 

 

ในขณะที่พรรคเพื่อไทยถูกวิจารณ์ว่า ตระบัดสัตย์ พลิกขั้ว แต่ในมุมคุณพร้อมพงศ์ นิยามรัฐบาลผสมชุดนี้ว่าอย่างไร 

 

ผมว่าเป็นรัฐบาลสลายขั้ว รัฐบาลที่จะพาประเทศออกจากวังวนความขัดแย้ง ผมมองจากความจริงที่ผมสัมผัส พวกผมถูกยุบพรรคมา 2 พรรค คือตั้งแต่ไทยรักไทย-พลังประชาชน ถูกยึดอำนาจ 2 ครั้งตั้งแต่ไทยรักไทย 2549 แล้วมาเพื่อไทย 2557 ยุคยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ก็ถูกยึดอำนาจ ถูกรัฐประหาร 

 

พวกผมเนี่ยสู้จริง เจ็บจริง ตายจริง แล้วก็ติดคุกจริง เสียอนาคตจริง พวกผมต้องกลืนเลือดเลย 

 

เมื่อสลายขั้วแล้ว มีอะไรที่บ่งบอกจุดยืนเดิมว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงการต่อสู้เดิม

 

อุดมการณ์พวกผมไม่เคยเปลี่ยน เรายึดหลักเรื่องประชาธิปไตย ประชาธิปไตยก็ยึดเสียงข้างมาก ถูกไหม วันนี้เมื่อ 3 ป. เขาไม่อยู่แล้ว ลุงตู่ประยุทธ์ ถอยไปแล้ว

 

เทียบเลือกตั้ง 2562 กับ 2566 อำนาจ 3 ป. และบรรยากาศที่ไม่เหมือนกัน

 

วันนี้ผ่านการเลือกตั้ง 2566 ต้องให้ความเป็นธรรม เพราะปี 2566 แตกต่างจากเลือกตั้งปี 2562 ซึ่งปี 2562 เลือกตั้งภายใต้อำนาจ คสช. มีมาตรา 44 มีหน่วยงานความมั่นคงไปหาพวกเราถึงที่ 

 

พวกผมโดนติดตามตรวจสอบเป็นปีๆ พวกผมไปไหนลำบากเลย แต่พอปี 2566 มันผ่อนคลายแล้วไง บรรยากาศเปลี่ยนแล้ว

 

ปี 2566 ต้องมองว่าทุกพรรคมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ไม่ได้ถูกแต่งตั้งมา เช่นเดียวกัน เราอย่าไปด้อยค่าว่าเขาอยู่ฝั่งนั้นฝั่งนี้ ตอนนี้ไม่มีฝั่งไหนเอาปืนไปจี้ใครแล้ว มันไม่ใช่ เพราะวันนี้ทุกพรรคมาจากประชาชน 

 

ส่วนลุง 3 ป. เขาไม่อยู่แล้ว วันนี้เราเองแม้ไม่ได้เต็ม 100 แต่เราได้สัก 80 ได้ไหม เพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้

 

วันนี้ผมมองว่าคนที่เสียสละอีกคนคือท่านอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของเพื่อไทย วันนี้ท่านถูกกระทำ ท่านถูกยุบพรรค 2 ครั้ง ตั้งแต่ไทยรักไทย แล้วถูกรัฐประหาร ถูกดำเนินคดีในระหว่างถูกยึดอำนาจ คดีท่านเป็นคดีการเมืองไหม คดีที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมืองไหม แล้วฝั่งตรงข้ามท่านตั้งกรรมการมาตรวจสอบท่าน ทั้งที่เป็นคู่กรณีกัน

 

 

วงการการเมืองกับวงการบันเทิงทั้งจอเงินจอแก้ว มีความแตกต่างกันหรือไม่ 

 

แตกต่างกัน คือบทบาทในวงการบันเทิง การแสดงนั้นเป็นบทบาทสมมติ ผมเป็นนักแสดงมา 29 ปี พอผมมาลงการเมืองเป็นผู้สมัคร สส. ปี 2550 ที่จังหวัดพังงา ผมไม่เคยกลับไปเล่นหนังเล่นละครอะไรอีกเลย ไม่มี เพราะผมถือว่าบทบาทสมมติมันจบไปแล้ว 

 

การเมือง สู้จริง เจ็บจริง ตายจริง 

 

ถ้าการแสดงหนัง แสดงละคร บทบาทสมมติ สู้กันไม่จริง เจ็บก็ไม่จริง ตายก็ไม่จริง แล้วติดคุกก็ไม่ได้ติดจริง แล้วเสียอนาคตก็ไม่ได้เสียจริง แต่นี่เสียหมดเลย ผมติดคุก 1 ปี เสียอนาคตอีก 10 ปี เท่ากับเสียไป 11 ปี เสียอนาคต เสียโอกาส เสียชื่อจริงๆ เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 หลังรัฐประหาร 2557 เขียนมาล็อกพวกผม 

 

นักแสดงไม่ว่า ภาพยนตร์ ละคร ใช้สแตนด์อิน สตันท์แมน ใช้ตัวแสดงแทนได้ในบทบาทที่อันตราย ฉากที่นักแสดงทำไม่ได้ก็มีตัวแสดงแทน แต่การเมืองไม่มีสตันท์แมน ไม่มีสแตนด์อิน ไม่มีสลิง ไม่มีตัวแทน และไม่มีเอฟเฟกต์อะไรทั้งนั้นเลย จะใช้กราฟิกอะไรก็ไม่ได้ 

 

จะแสดงเป็นผู้ร้าย คนก็ยังรู้เป็นนักแสดง แต่ถ้าการเมืองต้องทำบทบาทจริงให้ประชาชนเห็นว่ายึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพื่อประโยชน์ของประชาชน 

 

จัดแสงให้ตัวเองได้ไหม

 

ไม่ได้ ถ้าหิวแสง อยากได้แสง ในระยะยาวจริงๆ จะไม่ผ่าน ชีวิตในละครกับชีวิตการเมืองไม่เหมือนกัน ต่อให้แสดงเก่งอย่างไรก็แสดงพลาด ถ้าคิดจะแสดงเป็นนักการเมือง

 

บุคลิกเป็นอย่างไร นิสัยเป็นอย่างไร พอหลุดออกมา โลกเดี๋ยวนี้ประชาชนมีสื่อของตัวเอง เข้าถึงได้หมด เพราะฉะนั้นต้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง 

 

ผมอยู่วงการบันเทิงมา 29 ปี แล้วอยู่วงการการเมืองมาเกือบ 20 ปี ผมสัมผัสได้ว่า ถ้านักการเมืองคนไหนยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง แล้วทำเพื่อประชาชนจริงๆ มีนโยบายที่เกิดประโยชน์ เช่น ไอดอลผม ทักษิณ กี่ปีคนก็ไม่ลืม อานิสงส์ท่านเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณตั้งแต่ไทยรักไทย มาพลังประชาชน มาเพื่อไทย ชนะเลือกตั้งตลอด ผมยังมองว่านี่คืออานิสงส์ของท่าน นโยบายที่ท่านทำส่งผลมาถึงรุ่นลูกหลาน นักการเมืองที่พยายามจะแสดงหรือหิวแสงจะอยู่ได้ไม่นาน 

 

 

ซีนไหนของนักการเมือง ที่นักแสดงก็แสดงไม่ได้

 

ความจริงกับการทำงานที่แท้จริง เราเป็นคนอย่างไร ถ้าจะฉาบไว้ถึงจะแต่งหน้าให้สวยหล่ออย่างไร แต่ความขี้เหร่จะเห็นจากนิสัยเขา กับสิ่งที่ประชาชนสัมผัส ปิดบังไม่ได้ 

 

นักแสดงจะเป็นตัวร้ายหรือตัวเอก แสดงเสร็จก็เก็บเสื้อผ้ากลับบ้านแล้ว ละครเรื่องหน้าอาจเล่นบทอื่น แต่นักการเมืองต้องมีจิตวิญญาณ จิตอาสาที่จะทำเพื่อประชาชน ไม่ใช่อยู่หน้ากล้องแอ็กชันทำงาน ไม่ใช่แค่นั้น ต้องเป็นตัวจริง เพราะประชาชนไปถ่ายตอนเผลอก็สัมผัสได้ คนไหนจริงหรือไม่จริง 

 

พอไปลงพื้นที่ ถ้านักการเมืองทำงานไม่ผ่าน ประชาชนก็ตัดสินได้จากการเลือกตั้งครั้งต่อไป นักการเมืองบางคนดูโผงผาง แต่ชนะเลือกตั้งทุกครั้ง แปลว่าประชาชนเขาเห็นผลงานในพื้นที่ 

 

การเลือกตั้งคือการพิสูจน์ผลงาน แม้จะถูกกล่าวหาว่าซื้อเสียง หรือหาว่าเป็นบ้านใหญ่ 

 

ถ้าจะมีคนบอกว่า ดูการเมืองก็เหมือนดูหนังดูละคร 

 

ผมไม่เห็นด้วย เพราะละครหนังเป็นบทบาทสมมติ ดราม่ากันอย่างไรก็ได้ แต่การเมือง ดราม่าไม่ได้ ถ้าไม่มีผลงานประชาชนก็ไม่เลือก

 

เมื่อเรามาทำงานการเมืองคือบทบาทจริง วันนี้ถึงไม่ได้เป็นอะไรก็เป็นการเมืองภาคประชาชนที่อาสามาเป็น FC เพื่อไทย ไม่มีตำแหน่งทางการเมือง มาสร้างตำนานอย่างเดียว 

 

นักการเมืองปลอมอยู่ไม่นาน เจอมาเยอะ นักการเมืองไม่สามารถแสดงได้ทั้งชีวิต แสดงเป็นนักการเมืองไม่ได้ ที่แสดงได้คือละคร แต่เรื่องจริงคือต้องทำจริงๆ ต้องรักประชาชนจริงๆ ยึดประชาชนจริงๆ เอาตัวแสดงสตันท์แมน สแตนด์อินไปติดคุกไม่ได้ 

 

ประชาชนดูออก ประชาชนทันโลก ทันเหตุการณ์ ทุกคนเล่นโซเชียลมีเดีย ถ้าเราไปเล่นละครให้ประชาชนดู มันไม่ผ่านหรอก สมัยหน้าก็สอบตก ไม่ได้รับการยอมรับ ฉะนั้นคนที่ได้รับการเลือกตั้งมาตลอด ก็ต้องยอมรับเขา อย่าไปกล่าวหา ไปด้อยค่าว่าคนนี้บ้านใหญ่ หรือพูดโผงผาง 

 

 

เหลืออีก 2 ปี พ้นถูกตัดสิทธิ จะสมัครเข้าเพื่อไทยเลยหรือไม่

 

ผมคิดว่าถ้าสุขภาพยังแข็งแรง ผมก็ยังอยู่เพื่อไทย ผมถึงบอกว่าเพื่อไทยไม่มีวันสูญพันธุ์ ใครบอกว่าเพื่อไทยสูญพันธุ์ คือคนที่ไม่ได้เลือก คนเลือกอย่างผมเลือกด้วยอุดมการณ์ หัวใจผมแดงอยู่แล้ว แดงประชาธิปไตย 

 

โพสต์ Facebook ทุกเช้า เป็นการเรียกกำลังใจหรือเรียกทัวร์ 

 

อันไหนที่ผมรู้สึกว่าพรรคไม่ชี้แจง รัฐบาลไม่ชี้แจง แล้วประชาชนไม่เข้าใจ ผมในฐานะที่ทำการสื่อสารเรื่องนี้ ผมก็คุยกับกลุ่มประชาชนที่สนับสนุนว่า เราต้องชี้แจงในสิ่งที่ถูกต้อง ก็ช่วยพูด แม้ไม่มีตำแหน่งหน้าที่ในพรรค แต่ผมพูดในฐานะประชาชน มีทั้งทัวร์และมีคนมาให้กำลังใจ 

 

ใช้ Facebook กับ TikTok ชื่อเดียวกัน ดร.พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ มีคนถามว่าทำไมใส่ ดร. ผมบอกก็ผมเรียนหนังสือมา ก็เป็น ดร.จริงๆ เคยไปบรรยายไปสอนด้วย แต่ตอนนี้แบ่งขั้วแรง ลูกศิษย์ก็มีหลายสี 

 

ผมเล่นโซเชียลมีเดียเพื่อทันโลก ทันเหตุการณ์ อ่านคอมเมนต์ทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย อ่านหมด มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด แต่เชื่อว่ามีคนรักมากกว่าคนที่ไม่รัก เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทย แต่ถ้ามี IO มาดิสเครดิตเราก็มองออก เราต้องแยกแยะ

 

มองการชี้แจงเป็นสิ่งจำเป็น 

 

บางคนเขาไม่กล้าพูด หรือเขาไม่อยากไปทะเลาะกับคนโน้นคนนี้ แต่ผมมองว่าเราไม่ชี้แจงไม่ได้ นักการเมืองเดี๋ยวนี้สังคมโลกโซเชียลมีเดียไม่ได้มีเฉพาะสื่อสารมวลชน เพราะประชาชนเองก็เป็นสื่อ มีทั้ง TikTok, Facebook มีโซเชียลมีเดียต่างๆ มี Instagram สารพัด วันนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้นแล้วเราไม่ชี้แจง อีกฝ่ายจะพูดเรื่องไม่จริงซ้ำๆ จนกลายเป็นเรื่องจริง โลกยุคใหม่ ถ้าไม่ใช่ต้องตอบโต้ทันควัน 

 

 

ในฐานะ FC พรรคเพื่อไทย มีข้อวิจารณ์ต่อฝ่ายค้านอย่างไร

 

มองพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคก้าวไกล เขาเหลิงกระแส มีการด้อยค่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย มีการใช้วาทกรรม ฝ่ายค้านควรจะมีบทบาทเสนอสิ่งที่ดีกว่า หากไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลควรวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน แต่ปรากฏว่าพอชนะเลือกตั้งได้ สส. 151 เสียงแล้วไปเหลิงกระแส ใช้คำพูดที่ก้าวร้าวไปบดบังเนื้อหาการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ขณะที่รัฐบาลมีเสียง 300 กว่าเสียงถือว่าเข้มแข็งแล้ว รัฐบาลต้องการฝ่ายค้านที่เข้มข้น 

 

จุดแข็งที่มองว่าพรรคก้าวไกลทำได้ดีแล้ว มองว่าอะไรที่ควรทำต่อไป 

 

คือการตรวจสอบ อย่างพรรคประชาธิปัตย์ก็มืออาชีพด้านการตรวจสอบ ทำได้ดี ตรวจสอบเก่ง แล้วพรรคก้าวไกลก็เคยแสดงผลงานการตรวจสอบหลังเลือกตั้งปี 2562 มา 4 ปี ก็เป็นฝ่ายค้านรุ่นใหม่ ถ้าฝ่ายค้านรุ่นใหม่บวกฝ่ายค้านรุ่นเก่าก็เป็นฝ่ายค้านที่เข้มข้น พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลที่เข้มแข็ง มีฝ่ายค้านเข้มข้น ประชาชนจะได้ประโยชน์ ตรวจสอบเอาเนื้อหา แต่อย่าไปเน้นวาทกรรมและการก้าวร้าว ทำให้รัฐสภาเสียเวลา และประชาชนจะเสียโอกาสที่จะได้เนื้อหา

 

สิ่งที่ก้าวไกลควรทำคือเสนอนโยบายที่เหนือกว่า และสามารถทำให้ประชาชนหันมาฉุกคิดว่า ถ้ารัฐบาลนำสิ่งที่ก้าวไกลติติงมาทำเป็นนโยบายได้ มาแก้ปัญหาได้ พรรคก้าวไกลก็จะได้คะแนน 

 

ตอนนี้ฝ่ายค้านมีพรรคก้าวไกลกับประชาธิปัตย์ ส่วนฝ่ายค้านพรรคอื่นยังไม่โดดเด่น 

 

 

พรรคที่เคยอยู่ตรงข้ามกับเพื่อไทย ตอนนี้ก็มาร่วมรัฐบาลกันแล้ว 

 

ไม่ได้มองว่าฝ่ายเดียวกันแล้วจะไม่ติกันนะ ถ้าไม่ถูกก็ต้องติกัน เพราะถ้าเราไม่ติ ประชาชนจะไม่ได้ประโยชน์ ต่อให้เป็นรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ถ้าทำไม่ถูกต้อง หรือพรรคร่วมรัฐบาลทำไม่ถูกต้อง ผมก็ติ บอกไว้ก่อนเลย วันนี้ผมเป็น FC เพื่อไทย แต่ถ้าเพื่อไทยทำไม่ถูก ผมก็รักษาสถาบันทางการเมืองของเรา เราก็ต้องติ 

 

เตรียมวิจารณ์พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลด้วย ไม่ใช่วิจารณ์แต่ฝ่ายค้าน ต้องเอาผลประโยชน์ชาติและประชาชนเป็นหลัก ติแน่ ต่อให้เป็นฝ่ายเราก็ต้องติ เราอยากให้ภาคประชาชนเป็นอย่างนี้ ไม่ว่า FC เพื่อไทยที่เป็นแดงแล้วเปลี่ยนเป็นส้ม หรือเหลืองเปลี่ยนเป็นสลิ่ม เปลี่ยนเป็นส้ม ต้องมองว่านักการเมืองต้องรับใช้ประชาชน 

 

เราชื่นชอบ ชื่นชม ศรัทธา แต่ไม่ได้หลงพรรคการเมือง ไม่ใช่พรรคกับด้อมหรือติ่งทำอะไรแล้วจะถูกหมด 

 

คู่ขัดแย้งในรอบ 20 ปีเปลี่ยนแล้ว

 

คู่ขัดแย้งวันนี้เรียกว่ายุติสงครามสี ‘เหลือง-แดง’ สามารถร่วมรัฐบาลกันได้นี่คือสลายขั้ว แต่ว่าส้มหรือก้าวไกล อนาคตใหม่ เขาไม่ได้อยู่ในวงความขัดแย้งที่ผ่านมา เขาเพิ่งมา มาคนละยุค เป็นยุคหลังแล้ว

 

เมื่อยุติศึกเดิมก็ต้องถอยกันบ้าง ทุกคนไม่มีใครได้ 100 ต้องมีการเจรจากัน ไม่มีใครได้ทั้งหมด เราต้องทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าให้ได้ 

 

พรรคอนาคตใหม่เพิ่งมาถูกตัดสิทธิตอนยุบพรรค ยังไม่เคยถูกรัฐประหาร ยังไม่เคยถูกขัง 

 

เขาเป็นคนรุ่นใหม่นะ แต่มีบางคนเท่านั้นที่หัวร้อน และมีบางคนที่เหลิงกระแส แต่บางคนมีอุดมการณ์จริงต้องยอมรับ แล้วเขามีความรู้สามารถทำประโยชน์ให้ประเทศชาติได้ ถ้าลดความหัวร้อนลง ลดความเหลิงกระแสลง กระแสอยู่ไม่นาน อะไรมาเร็วก็เสื่อมเร็ว ดาราสมัยก่อนดังเร็วก็ดับเร็ว เพราะดังจากการสร้างกระแสให้เชียร์โหมกระแสกัน ถ้าประชาชนไม่ยอมรับ ไม่อยู่ในใจคนก็อยู่ได้ไม่นาน 

 

นักการเมืองอย่าอยู่กับกระแส ต้องอยู่ในใจคน อยู่ในใจประชาชน อย่าเหลิงกับกระแสต้องอยู่ในใจคน 

 

พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD

 

พรรคเพื่อไทยมีอายุแล้ว จะอยู่ได้ในกระแสการเมืองใหม่หรือไม่

 

พรรคเพื่อไทยมีจุดแข็ง มีตั้งแต่รุ่นใหญ่ รุ่นกลาง และรุ่นใหม่ ถ้าคนรุ่นเดียวกันก็พูดแบบเดียวกันเหมือนก้าวไกลตอนนี้ คือเวลานี้วุฒิภาวะทางการเมืองสำคัญ ถามว่าทำไมก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ทั้งที่มี สส. อันดับ 1 ต้องการ สว. เพิ่มอีก 60 กว่าคน ก็เป็นเพราะไม่ถอย ขณะที่นักการเมืองต้องมีวุฒิภาวะ ต้องเจรจา ไม่มีใครได้ร้อย เมื่อเสร็จศึกการเมืองต้องเจรจาสันติภาพ นกมีขน คนมีเพื่อน ถ้าเก่งคนเดียวไปก้าวร้าวไปเหลิงกระแสก็ไม่มีเพื่อน แล้วจะไปร่วมกับใคร

 

ผมผ่านมา 20 ปี การตั้งรัฐบาลประกอบด้วยทุกภาคส่วน กลุ่มคนในไทยมีทั้งอนุรักษนิยม เสรีนิยมก้าวหน้า และเสรีนิยมกลางๆ วันนี้ต้องรวมทุกกลุ่ม ต้องได้รับการยอมรับจากทั้งหมด จึงสามารถเป็นผู้นำบริหารประเทศได้ ไม่ฉะนั้นชนะเลือกตั้งแล้วแต่ก็ต้องเป็นฝ่ายค้าน 

 

ที่ผมแสดงความคิดเห็นไม่ใช่การกล่าวหา หรือการด้อยค่าพรรคก้าวไกล ผมไม่เรียกเขาว่าน้อง เดี๋ยวจะโดนสวน เดี๋ยวโดนไม่นับญาติ เอาเป็นว่าทุกคนมีอุดมการณ์ ไม่ใช่กล่าวหาหรือด้อยค่า แต่เป็นการเสนอแนะความคิดเห็นมุมมองในฐานะนักการเมืองที่เห็นโลกมาแล้ว กระแสอยู่ไม่นาน แต่ตำนานอยู่ตลอดไป ผมก็ไม่มีตำแหน่ง แต่มาสร้างตำนาน

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X