6 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา คือวันที่ร้าน Swensen’s สาขาใหม่ล่าสุดที่ ‘ยะลาปาร์ค’ ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้มอลล์เล็กๆ ถูก Soft Opening เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะ Grand Opening ในวันที่ 10 เมษายน 2564
หากใครที่เดินเข้าไปที่สาขานี้ ขอบอกได้เลยว่าคุณจะพบกับร้าน Swensen’s ที่ไม่สามารถพบเจอได้จากที่อื่นๆ อย่างแน่นอน
ส่วนจะมีอะไรที่แตกต่างบ้างนั้น เดี๋ยว THE STANDARD จะเล่าให้ฟัง
Stand Alone Store ที่มีเอกลักษณ์ทางด้านการออกแบบผสมผสานไปกับวัฒนธรรมท้องถิ่น
ที่ผ่านมาหนึ่งในโมเดลร้านที่ Swensen’s หยิบมาใช้คือ Region Flagship Store ซึ่งปัจจุบันมี 2 สาขาที่ภูเก็ตทาวน์และกาดน่าน
Swensen’s กาดน่าน
อนุพนธ์ นิธิยานันท์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท สเวนเซ่นส์ (ไทย) จำกัด อธิบายให้ THE STANDARD ฟังว่า การมี Region Flagship Store คือสิ่งที่เราค้นพบว่า Swensen’s อยู่มา 30 กว่าปี เป็นแบรนด์ต่างชาติที่มาจากสหรัฐอเมริกา และเข้ามาเติบโตในประเทศไทย จนถึงวันนี้ก็ยังยืนหนึ่งในตลาด
“เพราะฉะนั้นการมี Region Flagship Store คือการแสดงออกว่าแบรนด์ Swensen’s ได้ผสมผสานกลมกลืนไปกับวัฒธรรมในทุกส่วน ทุกภูมิภาคของคนไทย
“ดังนั้นเรื่องของรูปแบบ สถาปัตยกรรม เมนู การสร้างร้าน บรรยากาศทุกอย่างที่เกิดขึ้นในร้านจะให้ความรู้สึกสองอย่างคือ มาตรฐานของแบรนด์ระดับโลกในแง่ของการบริการที่พบเจอได้ทุกที่ และสิ่งที่ได้สัมผัสจากร้านในภูมิภาคที่ถูกออกแบบมาอย่างดี”
อนุพนธ์ นิธิยานันท์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท สเวนเซ่นส์ (ไทย) จำกัด
แต่สำหรับ ‘ยะลาปาร์ค’ แม้จะมีการออกแบบร้านที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครก็จริง แต่จะยังไม่ถูกเรียกว่า Region Flagship Store เนื่องจากขนาดร้านอยู่ที่ประมาณ 120 ตารางเมตร ซึ่งเป็นโมเดลปกติของ Swensen’s ในขณะที่ Region Flagship Store จะใช้พื้นที่ 200 ตารางเมตร
ดังนั้นสาขาแห่งนี้จะถูกเรียกว่า ‘Stand Alone Store ที่มีเอกลักษณ์ทางด้านการออกแบบผสมผสานไปกับวัฒนธรรมท้องถิ่น’
ผสมผสานสถาปัตยกรรมอาหรับกับความเป็น ‘ยะลา’
ถึงแม้ว่าที่ยะลา Swensen’s จะมีอยู่แล้ว 1 สาขาที่ศูนย์การค้าโคลีเซี่ยม ยะลา แถมตัวยะลาเองยังไม่ได้ไกลมากนักกับภูเก็ตที่มี Region Flagship Store ตั้งอยู่
แต่เหตุผลที่ทำให้ Swensen’s เลือกเปิดร้านภายใต้เอกลักษณ์ที่ผสมผสานไปกับวัฒนธรรมท้องถิ่น เป็นเพราะสำหรับ Swensen’s สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส เป็นพื้นที่ที่มีวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ เชื้อชาติ ภาษาของตัวเองที่ชัดเจนมาก จึงมีเอกลักษณ์บางอย่างที่น่าสนใจ
ส่วนสาเหตุที่รอบนี้เป็นยะลา เพราะหากมองเข้าไปในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จังหวัดที่เป็นเหมือนศูนย์กลางคือยะลา ซึ่งยังเป็นเมืองที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง อย่างผังเมืองที่สวยงามมาก และมีวัฒนธรรมที่ชัดเจน ซึ่งสามารถหยิบมาเสริมประสบการณ์ใหม่ๆ ของแบรนด์ให้เกิดขึ้น ที่สำคัญยังเป็นจังหวัดที่มีกำลังซื้อสูง
แม้จะไม่ใช่ Region Flagship Store ก็จริง แต่สาขาแห่งนี้ได้หยิบเอกลักษณ์ของความเป็น Region Flagship Store มาอย่างครบถ้วน ทั้งรูปแบบของร้าน โดยหากมองจากภายนอกเข้าไปเราจะพบกับอาคาร 2 ชั้นที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมอาหรับ ซึ่งมีลักษณะที่ดูเรียบสงบ แต่มีความงามเฉพาะตัว
บรรยากาศภายนอกร้าน
ทางเข้าอาคารจะใช้เหล็กเส้นเพื่อให้ดูโปร่งและแปลกตา เส้นสายต่างๆ ของเหล็กเส้นจะเรียงร้อยต่อเนื่องกันจนเป็นซุ้มทางเข้าอาคาร โดยรูปทรงรวมๆ ยังคงได้แรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมทางอาหรับ
ทำให้เห็นการผสมผสานสถาปัตยกรรมยุคใหม่ที่ใช้เส้นสายของเหล็กมาแทนความทึบตันของคอนกรีตหรือหิน ลวดลายสถาปัตยกรรมอาหรับที่งดงามในอดีตกำลังผสานเป็นหนึ่งเดียวกับลวดลายเหล็กถักทันสมัยในแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่
ภายในอาคารยังคงมีการใช้ลวดลายทางอาหรับเข้ามาเพื่อให้ความรู้สึกที่เชื่อมโยงภายในกับภายนอก ทำให้ไม่ตัดขาดจนเกินไป ภายในได้หยิบอัตลักษณ์ของยะลาคือเรื่อง Yala Bird City เข้ามาใช้ประดับตกแต่งภายในร้าน ทำให้ดูน่าสนใจ สนุก สดใสมากขึ้น โดยนอกจากการประดับด้วยกรงนกแล้ว ยังจะมีกราฟิกรูปนกที่บินจากชั้นล่างขึ้นไปด้านบน
บรรยากาศภายในร้าน
ขณะเดียวกันนอกเหนือจากรูปแบบร้านแล้ว ที่สาขาแห่งนี้ยังมีบัตร Swensen’s Member Card ซึ่งหยิบเอาเรื่องของ Yala Bird City มาใส่ในบัตร ซึ่งมีเพียง 2,000 ใบเท่านั้น โดยจำหน่ายในราคาใบละ 299 บาท
Swensen’s Member Card ลายพิเศษ Yala Bird City
สาขาต้นแบบ Stand Alone ที่ขยายนอกปั๊มน้ำมัน
อย่างไรก็ตาม แม่ทัพของ Swensen’s ระบุว่า สาขายะลาปาร์คจะกลายเป็นต้นแบบของร้านแบบ Stand Alone สำหรับขยายร้านที่อยู่นอกปั๊มน้ำมัน ซึ่งก่อนหน้านี้ Swensen’s ได้พัฒนาโมเดลใหม่ของร้านแบบ Stand Alone ขึ้นมา โดยเปิดแห่งแรกที่ PTT Station เมืองทองธานี
“อย่างที่เรารู้กันดี ทราฟฟิกในศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าเริ่มน้อยลง ผู้บริโภคออกมาใช้ชีวิตข้างนอกมากขึ้น ตลอดจนมีการสั่งซื้อแบบเดลิเวอรี ดังนั้น Swensen’s จึงทดลองเปิดร้านนอกห้าง โดยเริ่มที่ PTT Station เมืองทองธานี ซึ่งพบว่าเติบโตได้เป็นอย่างดี”
สิ่งที่เพิ่มเข้ามาในร้าน Stand Alone รูปแบบใหม่คือ การมี ’ห้องประชุม’ ซึ่ง Swensen’s ค้นพบว่าเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ลูกค้าสามารถนั่งไป ประชุมไป และกินไอศกรีมไปด้วยได้ ซึ่ง PTT Station เมืองทองธานีพบว่ามีลูกค้าเข้าไปใช้บริการเช่นเดียวกัน
ส่วนที่สาขายะลาปาร์คนั้นมีโอกาสที่ลูกค้าจะเข้าไปใช้บริการห้องประชุม เพราะโลเคชันตั้งอยู่ใกล้ๆ กับโรงเรียนและหน่วยงานราชการ โดยห้องประชุมนั้นตั้งอยู่บนชั้น 2 มีขนาดความจุประมาณ 10 ที่นั่ง
ภายในห้องประชุม
“ข้อดีของรูปแบบ Stand Alone คือ เราสามารกำหนดเวลาเปิด-ปิดของร้านได้ ซึ่งแตกต่างจากในห้างที่มีระยะเวลาตายตัว อย่างห้างในพื้นที่สามจังหวัดจะปิดเร็ว ประมาณ 1 ทุ่มก็ปิดแล้ว ดังนั้นสาขานี้จึงสามารถขยับเวลาปิดเป็น 3 ทุ่มได้
“อีกอย่างที่จะตามมาคือ ความยืดหยุ่นของการให้บริการแบบเดลิเวอรี เพราะหากอยู่ในห้าง การให้บริการเดลิเวอรีจะต้องขึ้นอยู่กับระยะเวลาการเปิด-ปิดของห้าง แต่ถ้าอยู่ด้านนอกสามารถขยายเวลาได้ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่างๆ สามารถขยายเวลาให้บริการได้ถึงเที่ยงคืน”
Swensen’s คาดว่าสาขายะลาปาร์คจะมีทราฟฟิกเฉลี่ย 400 คนต่อวัน และสามารถขยับได้เป็น 800 คนต่อวันในช่วงเทศกาลต่างๆ ซึ่งลูกค้าหลักก็เป็นคนในท้องถิ่น และอาจมีลูกค้าในพื้นที่ใกล้เคียงอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม อนุพนธ์ระบุว่า ในปีนี้ Region Flagship Store จะเปิดอย่างแน่นอน และจะมีมากกว่า 1 สาขา ส่วนจะเป็นที่จังหวัดไหนและเปิดเมื่อไร โปรดอดใจรออีกนิด รับรองได้เจอกันแน่นอน
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า