วันนี้ (19 สิงหาคม) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย พร้อมคณะผู้บริหารพรรค ลงพื้นที่ชายแดนใต้ จังหวัดปัตตานีและยะลา เพื่อพบปะผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน และนิสิตนักศึกษา พร้อมบรรยายในหัวข้อการเมืองกับความหวังของประชาชนในสภาวะปัญหาปัจจุบัน และหัวข้อจัดการภาครัฐแนวใหม่ เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ที่มหาวิทยาลัยฟาฏอนีและมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า พรรคไทยสร้างไทยมีหลักนโยบายดูแลตั้งแต่เกิดจนแก่ สำหรับวัยนักเรียนนิสิตนักศึกษาจึงมีนโยบายปฏิรูปการศึกษาเรียนฟรีอย่างมีคุณภาพจนถึงปริญญาตรี เพื่อให้โอกาส และเป็นการลงทุนในการยกระดับคุณภาพการศึกษาด้านการเรียนการสอนกับเยาวชนของชาติ
พรรคไทยสร้างไทยจะดำเนินการปรับหลักสูตรความรู้ของโลกยุคใหม่ ที่สามารถทำมาหากินได้ และต้องลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เพื่อให้เด็กนักเรียนสามารถเข้าถึงครูอาจารย์ที่เก่งในแต่ละด้าน โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเรียนการสอน รวมถึงให้อำนาจงบประมาณการศึกษากับเด็กนักเรียน โดยให้คูปองการศึกษา เพื่อให้เด็กนักเรียนสามารถเลือกเรียนในสถาบันที่ตนเองอยากเรียนได้ซึ่งจะเป็นการเรียนฟรีจนถึงปริญาตรี โดยการลดระยะเวลาการเรียนลงอีก 3-4 ปี ซึ่งทำให้เด็กไทยเรียนจบปริญญาตรีภายในอายุ 18-19 ปี
นอกจากนี้ คุณหญิงสุดารัตน์ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนใต้ว่า เป็นปัญหาที่สะสมมากว่า 18 ปี ซึ่งรัฐบาลใช้จ่ายงบประมาณไปเป็นจำนวนมหาศาลกว่า 3.3 แสนล้านบาท ล้วนเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับความมั่นคง หากแปรเปลี่ยนให้เป็นงบประมาณเพื่อการพัฒนาจะเกิดประโยชน์มากกว่า และสามารถแก้ไขปัญหาความยากจนในพื้นที่ได้อย่างมหาศาล
ทั้งที่ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีศักยภาพในการพัฒนา สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว นักลงทุนจากพี่น้องมุสลิมทั่วโลก ได้ด้วยจุดขายของความเป็นอารยธรรมปาตานี เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม รวมถึงออกแบบให้จังหวัดชายแดนใต้เป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าและอาหารฮาลาล โดยเฉพาะการผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตร-อาหาร อุตสาหกรรมการให้บริการการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นจุดแข็งในพื้นที่
“ความหวังของจังหวัดชายแดนใต้ต้อง ‘สร้างสันติภาพด้วยมือประชาชน’ เน้นเศรษฐกิจ นำการเมือง และการทหาร ต้องปลดล็อกกฎหมายพิเศษด้านความมั่นคง 3 ฉบับ ทั้งกฎอัยการศึก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.ความมั่นคง ที่บังคับใช้ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ด้วยการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายทั้ง 3 ฉบับ เพื่อให้มีความยุติธรรม มีกลไกที่เป็นธรรม และที่สำคัญต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมกำหนดแนวทางในการดำเนินงาน เพื่อแสวงหาสันติภาพบนพื้นฐานการยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของคนในพื้นที่ โดยมุ่งเน้นความปลอดภัยของพี่น้องทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิม” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว