×

สุชัชวีร์ชี้ กทม. ต้องเป็นเมืองสวัสดิการ เปลี่ยนกรุงเทพฯ ได้ ต้องเปลี่ยนคุณภาพชีวิตคนด้วย ย้ำมายืนตรงนี้เพราะอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง

โดย THE STANDARD TEAM
13.03.2022
  • LOADING...
สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์

วันนี้ (13 มีนาคม) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงวิสัยทัศน์ในงานที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรคได้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด The 2 Leaders’ Visions เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ของ 2 บุคคลสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ คือ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ ศ.ดร.สุชัชวีร์ 

 

โดย ศ.ดร.สุชัชวีร์ ได้กล่าวว่า วันนี้หน้าที่ผู้ว่าฯ กทม. นั้นเป็นงานหินจริงๆ ถ้าผู้ว่าฯ กทม. อายุมากกว่านี้อาจไม่ไหว เพราะ 50 เขตที่ผู้ว่าฯ กทม. ต้องดูแล และแต่ละเขตมีปัญหาแตกต่างกัน มีความซับซ้อน มีความละเอียดอ่อน แตกต่างกัน ซึ่งงานผู้ว่าฯ กทม. อันดับแรกก็คืองานแบกหิน เพราะฉะนั้นขาต้องแข็งแรง สุขภาพร่างกายต้องฟิตตลอดเวลา ไม่คิดว่าอายุมากกว่านี้จะทำงานนี้ได้ง่ายๆ เพราะเป็นงานที่หนักมากๆ

 

ร่างกาย สมอง และจิตใจ เป็นส่วนสำคัญ เรื่องของสมองวันนี้เราได้สมองมาเต็มกำลังทุกด้าน การประมวลทุกอย่างลงมาแล้วออกเป็นนโยบายแล้วทำได้จริง ก็เป็นงานหินอีกเหมือนกัน เพราะงบประมาณจำกัด คนมีความจำกัด หรือตัวผู้ว่าฯ ก็มีเวลาจำกัด เรื่องของจิตใจก็สุดๆ มีเพื่อนๆ หลายคนบอกว่า เอ้ น้องเอ้ พี่เอ้ อย่าท้อนะ เพราะตั้งแต่เปิดตัวมา 3 เดือนเจออะไรบ้าง เมื่อ 3 เดือนที่แล้วตนมีอาชีพที่มีเกียรติ มีครอบครัวเล็กๆ ที่มีความสุข ได้กลับบ้านทุกวัน วันนี้ไม่ได้เจอหน้าลูก ออกมาตั้งแต่เช้ากลับค่ำ เจอแรงกดดันทุกรูปแบบ แต่วันนี้ที่ตนออกมาเพราะอยากเห็นบ้านเมืองนี้เปลี่ยนแปลง แต่วันนี้เราจะสอนลูกอย่างไร เพราะทุกอย่างมันบิดเบี้ยวไปหมด 

 

“ดังนั้นการอยู่ในเมืองอย่างนี้ที่ท่านหัวหน้าจุรินทร์บอกว่าเป็น Mini Thailand นั้น สิ่งสำคัญที่สุดของการเปลี่ยนเมืองก็คือการเปลี่ยนชีวิตคน ความสุขของคนในเมืองจะอยู่ที่ว่าเขามีห่วงน้อยที่สุด ห่วงสุขภาพ ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยเขามีคนได้ดูแลรักษา แต่สิ่งที่เห็นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วคือการได้เห็นคนเสียชีวิตต่อหน้าต่อตาขณะลงไปดูชุมชน เขาป่วยด้วยโรคโควิด และเสียชีวิตด้วยอายุเพียง 61 ปีเท่านั้น ทั้งที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุดอยู่ฝั่งตรงข้ามชุมชนเท่านั้น และเมื่อได้เจอเด็กตัวเล็กๆ สิ่งที่ทำคืออุ้มขึ้นมา เพราะตนก็มีลูก 3 ขวบ แต่ปรากฏว่าเมื่ออุ้มเด็ก 4 ขวบ พวกเขาเบาหวิว

 

“ศูนย์ดูแลเด็กเล็กบางศูนย์มีเด็กไม่ถึง 20 คน เขาจึงได้รับเงินเป็นรายเดือน ต้องทำอาหารแจก ได้นม 24 กล่อง แสดงว่าเด็กไม่ได้กินนมครบทุกวัน ไข่ 15 ฟอง ไม่ถึงสัปดาห์หมด ความเหลื่อมล้ำใน กทม. ไม่ใช่วาทกรรม แต่นี่คือเรื่องจริงที่เราจะเลือกดูหรือไม่ดูเท่านั้นเอง และทุกเขตน้ำเน่าครบทุกเขต บางเขตน้ำเน่าเหม็นตรงนี้อีก 5 ก้าวถึงห้างสรรพสินค้าชั้นนำของโลกที่มีน้ำพุที่สวยที่สุด น้ำสะอาดนั่นคือลักชัวรีไปแล้วเหรอในเมืองแห่งนี้ แต่น้ำเน่าคือของคน กทม. ผมบอกเลยว่าหน้าที่ของผู้ว่าฯ กทม. ร่างกายนั้นสำคัญมากในการจะรับมือพวกนี้ สมองในการประมวลผลวันนี้ ผมจดจนมือเป็นระวิง และความรู้ก็คือแพสชันที่อยากจะเปลี่ยนแปลง และมันต้องอาศัยความกล้าสุดๆ กล้าที่จะรับการโดนทุกรูปแบบได้” ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าว 

 

ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวต่อไปว่า หลายๆ คนถามว่าโดนกดดันทุกรูปแบบแล้วรู้สึกอย่างไร ตนบอกได้ว่าเป็นเรื่องการทดสอบ เพราะกว่าที่จะเปลี่ยนกรุงเทพฯ เราทำได้ ต้องทนให้ได้ก่อน ทนทั้งร่างกาย ทนทั้งสมอง ทนทั้งสภาพจิตใจ แต่จากการรับฟังจากทุกคนอย่างตั้งใจก็คือ 2 คำ ‘โอกาส’ และ ‘การแข่งขัน’

 

ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2564 หลังได้ประกาศวิสัยทัศน์ ถ้าผู้นำยังมองเล็กๆ ไม่มีทางแก้ปัญหาได้ เพราะ กทม. ยิ่งเดินยิ่งรู้เลยว่าปัญหาใหญ่จริงๆ การแก้ด้วยทีมเล็กๆ ไม่มีทางแก้ปัญหา กทม. ได้เลย ขอบคุณที่ได้แนะนำให้ Think Global ถูกต้องที่สุด และท่านหัวหน้าก็บอกแล้วว่าอย่ามองแค่ กทม. ต้อง กทม. และปริมณฑล อย่ามองเฉพาะผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ต้องมองทุกคน และต้องมองว่านี่คือตัวอย่างของประเทศไทย ถ้า กทม. เปลี่ยนไม่ได้ อย่าหวังว่าประเทศจะเปลี่ยนได้

 

แต่การ Think Global อย่างเดียวไม่พอ ต้อง Act Local ด้วย เพราะทุกวันนี้ทางเท้าและถนนไม่เคยเรียบเลย ทั้งๆ ที่ถนนในเยอรมนี ออสเตรีย สร้างยากกว่า กทม. ไม่รู้กี่เท่า แต่ถนนเขาไม่ทรุด กทม. เรารู้สัณฐานของจริงยิ่งกว่าใคร แต่ไม่เคยเรียบ บริการสาธารณสุขในเมืองที่มีประชากรขนาดเท่าเราหรือมากกว่าเราเขาพัฒนาไปไกลแค่ไหน ตรงนี้การที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้าง ได้เห็นภาพรวม จึงมีความสำคัญ แต่ก็ต้องทำลงไปแบบมีวิสัยทัศน์แบบสากล 

 

วิสัยทัศน์ที่บอกชัดคือ กทม. ต้องเป็นเมืองสวัสดิการที่ทันสมัย เป็นต้นแบบอาเซียน เพราะสวัสดิการคือการประคับประคองทุกคนให้พอที่จะยืนได้ แต่ถ้าเด็กยังได้แค่ 20 บาทก็ยืนไม่ได้ ถ้าการเข้าถึงการบริการสาธารณสุขต้องไปอออยู่ที่โรงพยาบาลของรัฐ ศูนย์บริการสาธารณสุขไม่มีหมอเฉพาะทาง ตอนบ่ายไม่ต้องตรวจ ทั้งที่มีศูนย์กระจายอยู่ 19 แห่งทั่ว กทม. มีศูนย์ย่อยเกือบ 100 แห่ง มีศูนย์ทุกชุมชน แต่เมื่อเกิดอะไรขึ้นก็ทำหน้าที่เพียงแค่ส่งต่อเท่านั้น แล้วจะมีไปทำไม สิ่งนี้ก็คือ ‘คิดไม่ครบ ทำไม่จบ’ 

 

ขณะที่เรื่องการศึกษานั้น สิ่งที่ กทม. ต้องทำคือการมีโรงเรียนดี มีคุณภาพ ใกล้บ้าน 50 เขต ต้องมี 50 โรงเรียนต้นแบบ แต่ปัจจุบันเคยสังเกตหรือไม่ว่าต้องย้ายโรงเรียน 5 ครั้ง ศูนย์เลี้ยงเด็กในชุมชน-อนุบาลถึงประถม-มัธยมต้น-มัธยมปลาย-มหาวิทยาลัย ขณะที่โรงเรียนสาธิตดูแลตั้งแต่ก่อนชั้นอนุบาล-ประถม-มัธยม-มหาวิทยาลัย ดังนั้นการมีโรงเรียนต้นแบบลักษณะนี้จะทำให้ไม่ต้องย้ายโรงเรียนเลย และยังทำให้จัดหนักจัดเต็มได้ เพราะคุ้ม มีห้องสมุดที่ดีที่สุดได้ มีครูที่ดีที่สุดได้ มีครูภาษาอังกฤษจากอังกฤษหรืออเมริกาได้ เพราะ 1 โรงเรียน 1 เขต เดินทางไม่นาน 

 

ศูนย์บริการสาธารณสุขวันนี้ในหลายเขตสร้างไว้อย่างดี แต่ไม่มีคน เพราะไม่มีหมอ แต่แค่เพิ่มหมอ 3 วันต่อสัปดาห์เท่านั้น และเป็นหมอเฉพาะทาง ชีวิตคนกรุงเปลี่ยน เพราะไม่ต้องไปอั้นหรือไปออที่โรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงของรัฐ จากการที่ได้เดินดูปัญหาทั้ง 40 เขต พบว่า มีผู้สูงอายุทุกบ้าน ตั้งแต่บ้านมีรั้ว คอนโดมิเนียม แฟลต ชุมชน หมู่บ้านเก่าๆ จนถึงชุมชนที่ผู้สูงอายุไม่ได้ติดเตียง แต่ติดเสื่อ เพราะไม่มีเตียงให้ติด 

 

ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวด้วยว่า การเป็นเมืองสวัสดิการอย่างนี้สามารถคำนวณได้เลยว่าในอนาคตผู้สูงอายุมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ และท่านมีอายุยืนขึ้น เพราะมียาดีขึ้น มีการตรวจจับดีขึ้น แต่ไม่ใช่เป็นการอยู่อย่างมีคุณภาพ เมื่อผู้สูงอายุมีมากขึ้น ขณะที่เด็กรุ่นที่ได้ค่าอาหารกลางวันเพียง 20 บาทที่ยังไม่ได้รับการศึกษาแบบจัดหนักจัดเต็ม เมื่อเด็กกลุ่มนี้โตขึ้นมาจะแบกประเทศไหวได้อย่างไร 

 

เพราะในอนาคต 1 คนจะแบกคนผู้สูงอายุ 8 คน แล้วคนที่จะแบกขนาดนั้นขาต้องแข็งแรง ร่างกายต้องสมบูรณ์แค่ไหนถึงจะจ่ายภาษีได้ขนาดนั้น สมองต้องดีแค่ไหน จิตใจต้องทนทานแค่ไหน แต่ กทม. วันนี้ไม่พร้อมเลย แต่ผู้ว่าฯ กทม. ทำได้ เพราะเรื่องการจัดการศึกษา การจัดสาธารณสุข มีอำนาจหน้าที่เบ็ดเสร็จ 2 ส่วนนี้ ต้องทำจริงจัง ทำให้ครบ ทำให้จบ ชีวิตคนกรุงพลิกทันที 

 

ดังนั้นสวัสดิการด้านการศึกษาและสาธารณสุขจะทำให้คนกรุงสามารถลุกขึ้นมาได้ เดินได้ ‘ทันสมัย’ คือการทำให้เขาได้วิ่ง ถ้าตนมีโอกาสเป็นผู้ว่าฯ กทม. ต้องเป็นเมืองที่อินเทอร์เน็ตเป็นสวัสดิการพื้นฐานของเมือง เหมือนอีก 59 เมืองทั่วโลก ซึ่งเรื่องนี้ได้คำนวณไว้แล้ว กทม. ประมาณ 1,600 ตารางกิโลเมตร 150,000 จุด กทม. มีกำลังทำได้ การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต การเข้าถึงออนไลน์ จะทำให้ชีวิตเปลี่ยน การมีอินเทอร์เน็ตฟรี 150,000 จุด จะทำให้เด็กมีโอกาสเห็นโลก พ่อค้าแม่ค้าขายของออนไลน์ได้ และทำให้ระบบสาธารณสุขเข้าถึงพี่น้องประชาชนผ่านอินเทอร์เน็ตได้ จากการที่เคยเป็นอธิการบดี ผมเห็นแล้วว่าคนไทยทำได้ มีหมอ มีอุปกรณ์ที่ดี ชีวิตเปลี่ยน 

 

“เรื่องน้ำคือชีวิต ถ้าน้ำยังเน่า ชีวิตก็ไม่มีทางดีได้ การที่ กทม. มีน้ำเน่า น้ำท่วม เป็นเพราะน้ำนิ่ง น้ำตาย น้ำเน่า จากการได้ไปดูประตูระบายน้ำมาแล้วร่วมร้อยแห่งพบว่า บางประตูไม่เคยเปิดหรือไม่เคยปิด หรือไม่เคยทำงานทิ้งไว้เลย หรือที่มีอยู่ก็รอคน รอคำสั่งให้เปิดให้ปิด แต่ที่จริงแล้วเมืองที่ทันสมัยการไหลเวียนของน้ำเหมือนเส้นเลือดของเมือง เป็นระบบอัตโนมัติหมดแล้ว เช่นเดียวกับระบบปั๊ม ซึ่งจะเห็นว่าตามชุมชนยังใช้ปั๊มดีเซลและต้องไขกุญแจ ไม่มีแบตเตอรี่ ต้องแบกแบตเตอรี่มาเพราะกลัวหาย เรื่องนี้สะกิดนิดเดียว จุดนิดเดียว กทม. เปลี่ยนทันที” ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าว

 

ศ.ดร.ศุชัชวีร์ กล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับการเป็นต้นแบบของอาเซียนเป็นเรื่องที่จะทำให้คนได้วิ่งเร็วที่สุด เพราะตนเชื่อเรื่องการแข่งขัน ถ้าศูนย์บริการสาธารณสุขแข่งกันบริการประชาชน ผู้อำนวยการเขตแข่งกันทำงานให้เร็ว โรงเรียนแข่งกันพัฒนาคุณภาพ แต่มีบางคนบอกว่าการสอนเด็กให้แข่งกับตัวเองนั้นไม่ถูก ซึ่งตนก็ยืนยันว่าไม่ถูก หรือสอนให้ข้าราชการทำงานโดยไม่แข่งขันกับคนอื่นก็ไม่ถูก หรือนักธุรกิจถ้าไม่แข่งขันก็ไม่มีทางรอด ดังนั้นการที่จะเป็นต้นแบบของอาเซียน ทำให้ตาของเราจับจ้องสิ่งที่มันควรจะดี ซึ่งการมองสิ่งที่ดีเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายตรงนั้นให้ได้ แต่ถ้าไม่พูดอะไรมันก็เหมือนเดิม อีก 4 ปีเลือกตั้งใหม่ก็เหมือนเดิม จนคนแทบจะหมดหวังไปแล้วว่าเปลี่ยนไม่ได้ 

 

“ผมขอบคุณทุกท่านที่มาพร้อมกับพลังที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง พลังบวกที่เชื่อว่าเปลี่ยนได้ ซึ่งผมก็เชื่ออย่างนั้นว่า กทม. จะเป็นเมืองสวัสดิการให้คนลุกขึ้นมา ประคองเขาเข้ามาได้ กทม. จะเป็นเมืองที่ทันสมัย ที่ทำให้คน ให้เมือง ให้ระบบต่างๆ พอจะวิ่งได้ และ กทม. ต้องเป็นเมืองต้นแบบที่ทำให้คนจับจ้อง เพราะเขาแข่งขันได้ เขาต้องวิ่งให้เร็วที่สุด สุดความสามารถ ให้คุณภาพชีวิตของคน กทม. ดีขึ้น ให้เมืองดีขึ้น ผมกราบขอบคุณทุกท่าน และขอบคุณที่มาใส่พลังให้ผม ผมเดินมาแล้ว 40 เขต ไม่หยุดแม้แต่วันเดียว ผมเหนื่อยนะ เป็นมนุษย์ แต่วันนี้ท่านทำให้ผมคึกขึ้นมาอีก และผมคึกอย่างนี้ตลอดไป เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯ เพื่อที่จะสู้ ที่จะกล้าหาญ และไม่กลัวการโดนอะไรก็แล้วแต่ เพื่อที่จะไปให้ถึงเป้าหมายให้กรุงเทพฯ ของเรานั้นแก้ปัญหาซ้ำซากได้ ไม่เอาแล้ว ให้มันจบในรุ่นเราและวางรากฐานส่งมอบกรุงเทพฯ ถึงลูกหลานอย่างภาคภูมิใจได้” ศ.ดร.สุชัชวีร์  กล่าวในท้ายที่สุด

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising