เมืองหลวงของไทยที่ขึ้นชื่อเรื่องแผงขายอาหารข้างทางและกลิ่นหอมที่ยั่วยวนให้ทุกคนที่เดินผ่านเกิดอาการหิว แต่ในอีกทางหนึ่งนี้ก็เป็นปัญหามาอย่างยาวนานและหลากหลายเรื่องราว จนผู้ว่าฯ คนล่าสุดอย่าง ‘ชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ ต้องการลุกขึ้นมาจัดระเบียบ
รายงานของ Nikkei Asia ระบุว่า ชัชชาติไม่ต้องการให้มีผู้ค้าที่ไร้มารยาทบนทางเท้า และเปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้กลายเป็นโอเอซิสกลางเมืองที่นักท่องเที่ยวจะหลั่งไหลเข้ามา แต่กระนั้นเขาก็ถูกกดดันให้เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังเช่นกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- หาบเร่-แผงลอย ทิ้งขยะ-น้ำมันลงท่อระบายน้ำ กทม. ปรับสูงสุด 10,000 บาท พบแจ้งจับรับเงินรางวัลครึ่งหนึ่ง
- กทม. วางแผนยกระดับ ‘สตรีทฟู้ด’ แบ่ง 3 กลุ่ม ชุมชน-ในเมือง-ท่องเที่ยว ชูจุดเด่น เน้นความปลอดภัย
- 5 ประเด็น เงินเฟ้อ ที่ควรรู้ เตรียมพร้อมรับมือวิกฤตอาหาร เลี่ยงก่อหนี้ใหม่
ก้อย เจ้าของร้านราเมนวัย 52 ปีในย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ ที่พลุกพล่าน กล่าวว่าเขากังวลว่าตัวเองอาจสูญเสียลูกค้าประจำ ซึ่งเขาเปิดร้านมาเป็นเวลากว่า 5 ปี ดึงดูดพนักงานออฟฟิศจำนวนมากในช่วงพักกลางวัน แต่กฎใหม่ทำให้เขาอาจต้องย้ายร้านหนีจากลูกค้าไป
ตามแผนของชัชชาติ ซึ่งเปิดเผยเมื่อเดือนกรกฎาคม คือการตั้งแผงขายอาหารในหลายโซนที่กรุงเทพมหานครเป็นผู้กำหนด และเรียกเก็บค่าเช่าราคาต่ำ ตลอดจนตั้งใจที่จะรวบรวมพวกเขาในตลาดกลางแจ้งเหมือน ‘ศูนย์หาบเร่’ ที่มีชื่อเสียงของสิงคโปร์ โดยชัชชาติกล่าวว่าเขาต้องการให้พ่อค้าแม่ค้าจัดหาอาหารราคาถูกให้กับคนกรุงเทพฯ ต่อไป แต่เขาตั้งใจที่จะ ‘ทำความสะอาด’ เมืองหลวงด้วย
ในประเทศไทย สามารถซื้อข้าว ก๋วยเตี๋ยว ต้มเลือดหมู หมูตุ๋น และอาหารไทยอื่นๆ ได้ในราคาประมาณ 50 บาท ซึ่งการหาร้านอาหารที่ให้บริการอาหารในราคาใกล้เคียงกันนั้นเป็นเรื่องยากในเมืองหลวง ดังนั้นแผงลอยริมถนนจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับชาวกรุงเทพฯ จำนวนมาก
เหล่านี้เองทำให้สตรีทฟู้ดหรืออาหารริมทางเมืองไทยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก จนสื่อหลายสำนักไม่ว่าจะเป็น Forbes, Telegraph, CNN หรือแม้แต่ Time Out จัดอันดับยกให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่มีอาหารริมทางที่ดีที่สุด เนื่องจากรสชาติอร่อยมีให้เลือกรับประทานหลายชนิด กระจายอยู่ตามแหล่งชุมชนต่างๆ ทำให้หาซื้อได้ง่าย มีขายตลอดเวลา
การหาซื้อได้ง่ายทำให้ Euromonitor ประเมินว่า มูลค่าตลาดอาหารสตรีทฟู้ดโดยรวมในประเทศไทยปี 2562 มีมูลค่าราว 2.76 แสนล้านบาท และเพิ่มเป็น 3.4 แสนล้านบาท ขึ้นเฉลี่ย 5.3% ต่อปี จากร้านค้ามากกว่า 1 แสนร้านทั่วประเทศ
แต่ในขณะที่หลายคนมองว่าแผงขายอาหารมีเสน่ห์และจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต แต่มีอีกหลายคนที่ไม่ได้ชื่นชอบ เพราะการตั้งร้านบนทางเท้าได้เข้ามากีดขวางการเดิน สร้างปัญหาขยะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ โดยเฉพาะการเทเศษอาหารลงในท่อระบายน้ำทำให้อุดจน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ว่าฯ กทม. ต้องการแก้ไขปัญหาโดยด่วน
กระนั้นเรื่องนี้ก็อาจไม่ง่ายนักพ่อค้าแม่ค้าจำนวนมากมาจากจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ยากจน อย่างเจ้าของร้านวัย 43 ปีที่ขายหมูปิ้งบอกว่า สามีของเธอยังทำงานอยู่ที่บ้าน แต่ตัวเองมาขายของในกรุงเทพฯ ซึ่งทำรายได้กว่า 2 แสนบาท ครึ่งหนึ่งของรายได้ต่อปีของทั้งคู่ ดังนั้นทำให้เธอมองว่าการจัดระเบียบนั้นอาจ ‘ขโมยแหล่งรายได้อันมีค่า’ ไปจากเธอ
ด้านเจ้าของรถเข็นผัดไทยบนถนนข้าวสารบอกว่า ไม่ต้องการให้รถเข็นถูกจัดระเบียบด้วย เพราะ “สิ่งที่นักท่องเที่ยวต่างชาติกำลังมองหาคืออาหารข้างทาง” เธอกล่าว “ไม่มีอะไรอื่นอีกแล้ว”
ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ชัชชาติกล่าวว่า กทม. กำลังจะจัดกลุ่มสตรีทฟู้ดเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. ตลาดในชุมชนคือตลาดในชุมชนที่อยู่มานานหลายสิบปี, 2. ตลาดในเมืองสำหรับคนทำงานออฟฟิศ และ 3. ตลาดนักท่องเที่ยว
ช่วงแรกจะเน้นตลาดในเมืองและตลาดนักท่องเที่ยว อาจเป็นถนนสุขุมวิทหรือสีลม โดยเลือกพื้นที่นำร่อง 2-3 จุด เพื่อเป็นบทเรียน Sandbox ก่อนที่จะขยายไปจุดอื่นต่อไป
นอกจากนี้หนึ่งในแผนการจัดระเบียบคือการเข้มงวดเรื่องร้านค้าหาบเร่-แผงลอย ที่ทิ้งขยะ-น้ำมันลงท่อระบายน้ำ โดยทาง กทม. ปรับสูงสุด 10,000 บาท และให้ผู้ที่แจ้งจับรับเงินรางวัลครึ่งหนึ่ง
ภาพ: Anusak Laowilas / NurPhoto via Getty Images
อ้างอิง:
- https://asia.nikkei.com/Business/Food-Beverage/Bangkok-street-vendors-fear-new-governor-s-relocation-plan
- https://www.thestorythailand.com/31/12/2020/10333/
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP