คนที่รู้จักผมดีที่สุดคนหนึ่งเคยบอกว่าผมเป็นคนบ้าเห่ออะไรเป็นพักๆ คิดดูแล้วก็อาจจะจริง ทั้งการเล่นครอสเวิร์ด หรือการถ่ายรูปที่ทุ่มเทจริงจังระดับจะทำเป็นอาชีพ แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกไป คงมีแค่ ‘การวิ่ง’ อย่างเดียวที่ดูไม่เป็นอย่างนั้น
ย้อนไปสมัยที่เป็นเด็กหนุ่ม นอกจากโดนครูพละบังคับให้วิ่งแล้ว ผมก็วิ่งของผมเองเพื่อลดความอ้วน และการวิ่งก็ให้สิ่งนั้นมาได้จริงๆ พอผอมสมใจก็เริ่มเพลาเรื่องวิ่งลง แต่ถ้าเมื่อไรที่รู้ตัวว่าเริ่มอึดอัดกับรูปร่างก็จะกลับมาวิ่งอยู่เสมอ
ช่วง 3 ปีนี้เป็นช่วงที่ผมวิ่งจริงจังที่สุดในชีวิต เหตุผลก็ไม่ได้ต่างออกไปจากเดิม แต่ความเข้มข้นกลับเพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน จากเคยนับเป็นแค่รอบสนาม รอบสวนสาธารณะ เริ่มวิ่งเป็น 3 กิโลฯ 5 กิโลฯ พอวิ่ง 10 กิโลฯ ได้ก็ลองไป 21 กิโลฯ หรือฮาล์ฟมาราธอน แถมยังเคยบ้าบิ่นไปถึง 42.195 กิโลฯ หรือฟูลมาราธอนมาแล้ว (สารภาพว่าเดินไปเกือบครึ่งทางจนเกือบจะโดน cut-off)
แม้ปีนี้จะตั้งใจวิ่งอย่างจริงจัง แต่ก็มีบางเดือนที่ฟิตตามเป้า และบางเดือนที่แผ่วไปบ้าง เป็นปีที่มีมิติในการวิ่งมากขึ้นเมื่อเริ่มลงงานวิ่งประเภทเทรล เริ่มไปแจมกับชมรมวิ่ง ได้ทำพอดแคสต์วิ่ง และจัดงานวิ่งเล็กๆ ได้เป็นเรื่องเป็นราว
เมื่อได้รับเชิญจาก Under Armour Thailand ให้ไปวิ่งที่งาน Standard Chartered Singapore Marathon 2018 ปีแห่งการวิ่งของผมยิ่งถูกเติมเต็ม แม้จะกล้าๆ กลัวๆ แต่รู้เลยว่าไม่ควรปฏิเสธ เพราะนี่คืองานวิ่งที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ เป็นงานวิ่งที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์สมาคมกรีฑานานาชาติ (IAAF) ในระดับ Gold Label และนี่คืองานวิ่งที่กำลังเป็นตัวเต็ง World Marathon Majors ในลำดับต่อไป
ผมไม่เคยไปแข่งวิ่งที่ต่างประเทศมาก่อน ความอยากไปสัมผัสมาตรฐานและระบบการจัดการ รวมถึงซึมซับประสบการณ์ของงานวิ่งที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกแบบนี้มีอยู่เต็มเปี่ยม แม้มีช่วงเวลาให้ซ้อมอยู่ประมาณ 2-3 เดือน แต่ประเมินตัวเองแล้วน่าจะไม่พอสำหรับฟูลมาราธอน ผมเลยขอสมัครวิ่งในระยะฮาล์ฟมาราธอนที่ตัวเองพอจะคุ้นเคยอยู่บ้าง
วันที่ตอบรับคำเชิญกับวันที่ต้องเดินทางไปสิงคโปร์มาบรรจบกันเร็วมาก รู้ตัวอีกทีผมก็อยู่ในฮอลล์ใหญ่ๆ เป็นงานเอ็กซ์โปที่จะนัดนักวิ่งให้มารับ Race Pack ได้แก่ เสื้อ หมายเลขวิ่ง กระเป๋าไว้ใส่ของ ที่น่าสนใจคือมีกระเป๋าพลาสติกใหญ่ๆ ใสๆ มาพร้อมสติกเกอร์หมายเลขวิ่งไว้ใช้ฝากของ ทางผู้จัดบอกว่าปีนี้วิธีการฝากของจะสะดวกรวดเร็วมากๆ ลดเวลาในการฝากและรับของคืน ทำให้สามารถเอาเวลาที่เคยเสียไปกับตรงนี้ไปทำสิ่งอื่นๆ ได้มากขึ้น
ผมเพิ่งมารู้เอาตอนอยู่ในงานเอ็กซ์โปนี่เองว่าผมในนามตัวแทนจาก THE STANDARD แทบจะเป็นสื่อไทยเจ้าเดียวที่ Under Armour Thailand เชิญให้มาวิ่ง แถมยังมีโอกาสได้ร่วมงานเปิดตัวรองเท้ารุ่นใหม่ของ Under Armour ที่จะวางขายในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2019 ด้วย
ในงานเอ็กซ์โปยังมีบรรยากาศน่ารักๆ ที่อยากเล่าให้ฟังอยู่พอสมควร เช่น สตาฟฟ์ในงานจะเป็นวัยรุ่นหน้าตายิ้มแย้ม เอะอะก็จะไฮไฟว์คนที่เดินผ่านเสมอ หรือสตาฟฟ์คุณลุงดูใจดีตรงจุดลงทะเบียนที่อยู่กับการสแกนคิวอาร์โค้ดได้อย่างไม่เคอะเขิน ระบบจัดการภายในงานแบ่งช่องแบ่งเลนให้เดินอย่างเป็นระเบียบมากๆ แถมในงานยังมีบูทอื่นๆ มาจัดแสดงอีกเพียบ ทั้งแบรนด์รองเท้า เสื้อผ้า หูฟัง มีบูทงานวิ่งจากที่อื่นๆ ให้สมัคร ใครเดินผ่านออกจากงานไปมือเปล่าต้องถือว่าใจแข็งสุดๆ
ก่อนวันแข่งผมได้เจอกับทีม UA Run Crew (Thailand) ที่เพิ่งบินมาสมทบ เป็นกลุ่มวิ่งคล้ายๆ Running Club ของ Under Armour ที่ฝึกซ้อมด้วยกันเป็นประจำ หลายคนเป็นนักวิ่งหน้าใหม่ที่ผ่านการคัดเลือกให้มาเปิดซิงฮาล์ฟมาราธอนและฟูลมาราธอนแรกที่งานนี้ ผมได้เจอกับ ต๊ะ-พิภู พุ่มแก้วกล้า ผู้ประกาศข่าว ดีเจ และพิธีกรแห่งรายการ THE STANDARD Daily แบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Under Armour และผมเองยังได้รับเกียรติให้วิ่งอยู่ในทีม UA Run Crew ด้วย
ฮาล์ฟมาราธอนและฟูลมาราธอนปล่อยตัวพร้อมกันคือตีสี่ครึ่ง เราออกจากที่พักตั้งแต่ตีสาม เพราะรถโดยสารไม่สามารถเข้าไปใกล้จุดปล่อยตัวได้มากนัก ทำให้ต้องเผื่อเวลาเดินไปยังจุดรวมตัวที่ค่อนข้างไกล เนื่องจากงานนี้มีนักวิ่งเข้าร่วมแข่งขันกว่าครึ่งแสน เขาเลยแบ่งโซนปล่อยตัวนักวิ่งเป็น PEN A-PEN G ไล่ไปเลย A B C D E F G
PEN A ก็คือคนที่จะวิ่งฟูลมาราธอนในเวลาต่ำกว่า 3 ชั่วโมง PEN B คือวิ่งฟูลมาราธอนในเวลา 3 ชั่วโมงถึง 3 ชั่วโมง 30 นาที หรือวิ่งฮาล์ฟมาราธอนต่ำกว่า 1 ชั่วโมง 45 นาที ก็ไล่ไปเรื่อยๆ ผมเลือกไว้ว่าจะวิ่งฮาล์ฟมาราธอนภายในเวลา 2 ชั่วโมง 16 นาที ถึง 2 ชั่วโมง 30 นาที ก็เลยได้อยู่ที่ PEN E การแบ่งโซนหรือบล็อกแบบนี้ช่วยให้ทยอยปล่อยตัวไปได้ทีละกลุ่มก้อน ไม่กระจุกกันอยู่กลุ่มเดียว ใครรู้ตัวว่าวิ่งเร็วก็ไปสับเท้ากันก่อนตั้งแต่เนิ่นๆ ผมชอบอีกอย่างก็คือการแบ่งแบบนี้ทำให้เราได้วิ่งอยู่ในกลุ่มคนที่วิ่งเท่าๆ กันกับเรา ได้วิ่งไปพร้อมๆ กันตามที่ซ้อมกันมา และช่วยกันคุมความเร็วได้แบบไม่รู้ตัว
ตัดภาพมาที่ความเป็นจริง แม้จะเคยผ่านสนามฮาล์ฟมาราธอนมาแล้วประมาณ 5 รายการ แต่กับสนามนี้กลับวิ่งไม่ออกเอาดื้อๆ เหงื่อท่วมตัวตั้งแต่กิโลเมตรแรกๆ อาจเพราะอากาศร้อนแบบสิงคโปร์ที่คนร่ำลือกัน งานนี้มาทั้งอาการจุกตรงท้องน้อย มีแวะเข้าห้องน้ำสลับกับเดินเป็นระยะ กิโลเมตรแรกๆ ยังพอทำความเร็วในแบบที่ต้องการได้ บรรยากาศรอบข้างช่วยได้เยอะ มีนักดนตรีร้องเล่นให้ฟังอยู่ตามถนน มีมาสคอตมาคอยไฮไฟว์ มีคนมาชูป้ายให้กำลังใจ มีสตาฟฟ์ที่คอยเสิร์ฟน้ำตามจุดอย่างแข็งขัน แต่พอเลย 10 กิโลเมตรไปก็เริ่มไม่มีอะไรช่วยบิลด์ ต้องวิ่งกับตัวเองและผู้คนรอบข้างไปเรื่อยๆ ความเร็วเลยร่วงไปหลายกิโลเมตร กว่าจะดึงกลับมาได้ก็ตอนช่วงกิโลเมตรท้ายๆ ผู้คนตามข้างถนนหนาตาขึ้น เห็นวิวเมืองสวยๆ ที่คุ้นเคย ผ่านเมอร์ไลออนและเอสพลานาด เธียเตอร์ส เริ่มเห็นฝั่ง ร่างกายทุกส่วนเลิกงอแง วิ่งรับแดดในเวลาเกือบๆ จะ 8 โมงเช้า เข้าเส้นชัยพร้อมฉากหลังแลนมาร์กอลังการอย่างมารีนา เบย์ แซนด์ส และสิงคโปร์ฟลายเออร์
สรุปก็คืองานนี้ผมใช้เวลาวิ่งไปเยอะที่สุดตั้งแต่เคยวิ่งฮาล์ฟมาราธอนมาคือร่วมๆ 3 ชั่วโมง แต่ก็ได้ประสบการณ์กลับมามากที่สุดเช่นกัน ผมคิดทบทวนว่าเพราะอะไรถึงวิ่งไม่ได้ตามเป้า อากาศร้อนเกินไป นอนไม่พอ ไม่ฟิต ซ้อมมาน้อย หรือตื่นสนามต่างๆ นานา จากทุกข้อสงสัยมารวมได้เป็นคำตอบว่าเพราะผมประมาทเกินไป คิดว่าตัวเองเคยวิ่งระยะนี้มาแล้ว บวกกับวิ่งเป็นประจำหลายวันต่อสัปดาห์ก็น่าจะเพียงพอ แต่กับสนามนี้ Standard Chartered Singapore Marathon 2018 ที่ผมว่าน่าจะโหดพอๆ กับ Laguna Phuket Marathon ของบ้านเรา กับสนามที่ได้ยินคำร่ำลือว่าโหด เราต้องซ้อมมาให้โหดพอเช่นกัน แล้วเรื่องอากาศและสภาพร่างกายก็จะไม่ใช่ปัญหาเลย
มองไปที่เหล่าสมาชิก UA Run Crew (Thailand) เกือบ 20 ชีวิต หลังวิ่งเสร็จหลายคนโอดครวญถึงความทรมาน ความระอุของอากาศ มีบ้างที่กล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บ แต่ส่วนใหญ่ล้วนทำได้ตามเป้า เพราะฝึกซ้อมและถูกเทรนมาอย่างดี แม้จะมีบางคนบ่นว่าไม่เอาอีกแล้วกับระยะฟูล ระยะฮาล์ฟ แต่ผมแอบรู้ว่าพอผ่านไปไม่กี่วันเขาก็ยังหางานวิ่งใหม่ๆ ลงแข่งอยู่ดี นี่แหละคือเสน่ห์ของงานวิ่ง มันเหนื่อยกว่าวิ่งเองปกติทั่วไป มันทรมานด้วยระยะทางที่ไกลกว่าที่เคยซ้อม มันมีมวลของการแข่งขัน มีความทรงจำที่เฉพาะเจาะจงอยู่ในนั้น ที่สำคัญมันมีความสุขให้นึกถึง และอยากกลับไปวิ่งอีกครั้ง
ผมเป็นคนหนึ่งที่บอกคนรอบข้างบ่อยๆ ว่าชอบประเทศสิงคโปร์ ชอบความเป็นระเบียบ ความเนี้ยบเป๊ะที่ออกจะแข็งกระด้างอยู่บ้าง แต่ที่นี่ก็ยังมีวิวเมืองที่สบายตา น่ามอง มีถนนหนทางที่น่าวิ่ง มีอาหารการกินที่ถูกปากอยู่ไม่น้อย วันหนึ่งผมจะกลับมาวิ่งที่ประเทศนี้อีก และต่อด้วยข้าวมันไก่สักจานเพื่อชดเชยแคลอรีที่ถูกเผาผลาญไป
ภาพ: Courtesy of Standard Chartered Singapore Marathon, Under Armour
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
- สำหรับการแข่งในครั้งนี้ ผมได้ลองใส่รองเท้า Under Armour HOVR Sonic เป็นรองเท้าที่วิ่งถนนระยะไกลได้สบายๆ พื้นนุ่มนิ่ม ตัวรองเท้าระบายอากาศได้ดี ที่สำคัญคือมีส่วนที่ช่วยกระชับข้อเท้า เหมาะจะใส่เพื่อทำความเร็วได้อีกด้วย