วันนี้ (12 ธันวาคม) วีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ลงนามสัญญาโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 ช่วงขอนแก่น-หนองคาย กับกิจการร่วมค้า ช.ทวี-เอเอส ก่อสร้าง มูลค่าโครงการ 28,679,000,000 บาท และร่วมลงนามในข้อตกลงคุณธรรม เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการขนส่งทางรางระหว่างภูมิภาค รองรับการเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟความเร็วสูงระหว่างไทย-สปป.ลาว-จีน
สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 ช่วงขอนแก่น-หนองคาย รฟท. ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2566 ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย ในแผนงาน 1 การพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง (การพัฒนาระบบรถไฟรางคู่) ระยะที่ 2
และคณะกรรมการ รฟท. มีมติเห็นชอบให้ รฟท. ขออนุมัติดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 ช่วงขอนแก่น-หนองคาย เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2564 เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการขนส่งทางราง สนับสนุนการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า สอดคล้องตามนโยบายการพัฒนาระบบขนส่งและโลจิสติกส์ของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ที่ต้องการลดต้นทุนการขนส่งสินค้าและสามารถประหยัดการใช้พลังงานของประเทศได้ในระยะยาว
วีริศกล่าวต่อว่า รฟท. มีโครงการที่จะพัฒนาทางคู่อย่างต่อเนื่องตามแผนโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 อีก 7 เส้นทาง ระยะทางรวม 1,488 กิโลเมตร โดยทางคู่ระหว่างสถานีขอนแก่น-หนองคายนั้นถือเป็นการต่อยอดเส้นทางชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น เพื่อเชื่อมโยงกับการบริการขนส่งและโลจิสติกส์กับประเทศเพื่อนบ้านรวมทั้งในระดับภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากโครงการดังกล่าวดำเนินการแล้วเสร็จ จะช่วยเพิ่มความตรงต่อเวลาและความรวดเร็วในการเดินทางด้วยรถไฟในรัศมี 500 กิโลเมตรจากกรุงเทพฯ ที่สามารถใช้เวลาน้อยลง 1 เท่าตัว รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและความต้องการเดินทางของประชาชนในอนาคต
สำหรับรูปแบบโครงการดังกล่าวเป็นการก่อสร้างทางรถไฟใหม่เพิ่ม 1 ทาง ขนานไปกับทางรถไฟเดิมและก่อสร้างปรับแนวเส้นทางใหม่บางส่วน รวมระยะทางประมาณ 167 กิโลเมตร ประกอบด้วย อาคารสถานี 14 สถานี, ที่หยุดรถ 4 แห่ง, ลานบรรทุกสินค้า 3 แห่ง พร้อมทั้งงานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคมตลอดทั้งสายทาง คาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2570
วีริศกล่าวว่า รฟท. เร่งก่อสร้างเส้นทางรถไฟ ทั้งโครงข่ายรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2, ทางคู่ระยะเร่งด่วน, ทางคู่สายใหม่ ตลอดจนโครงการรถไฟความเร็วสูงให้แล้วเสร็จตามแผนงาน เพื่อให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ โดยยึดถือประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นที่ตั้ง เพื่อยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางรางในภูมิภาคอาเซียนต่อไป