วันนี้ (17 กุมภาพันธ์) เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางไปตรวจราชการ 3 จังหวัดภาคอีสาน ระหว่างวันที่ 17-19 กุมภาพันธ์ 2567 เริ่มจากจังหวัดนครพนม จังหวัดสกลนคร และจังหวัดอุดรธานี
โดยในวันนี้นายกรัฐมนตรีและคณะได้เยี่ยมชมหมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนาม สักการะรูปเหมือนโฮจิมินห์ และปลูกต้นไม้ไว้เป็นที่ระลึกแก่สถานที่ ร่วมประชุมประเด็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว และพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทย-เวียดนาม
ก่อนจะติดตามสถานการณ์การส่งออกและพื้นที่ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ที่ด่านศุลกากรจังหวัดนครพนม สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 โดยนายกรัฐมนตรีรับฟังรายงานปัญหาการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนม จากตัวแทนกรมธนารักษ์ในพื้นที่ ช่วงหนึ่งระบุว่า เมื่อปี 2562 กระทรวงคมนาคมได้เสนอโครงการก่อสร้างรถไฟสายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ซึ่งแนวเส้นทางรถไฟจะพาดผ่านที่ราชพัสดุบางส่วน นอกจากนี้ กรมธนารักษ์ยังได้จัดทำสัญญาเช่าพิเศษกับบริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) อัตราค่าเช่าปีละ 11 ล้านบาทเศษ แต่บริษัทได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด จึงจ่ายค่าเช่าแค่ในช่วงปีแรก ส่วนปีที่ 2-4 ยังไม่ได้มีการดำเนินการ แต่ค่าเช่าที่ยังคงค้างอยู่ รวมถึงค่าธรรมเนียมที่ยกเว้นให้ในช่วง 5 ปีแรก รวมจำนวน 187 ล้านบาท
แนะยกเลิกหาบริษัทใหม่ทำสัญญา
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ การพัฒนาพื้นที่ควรให้คนที่อยากลงทุนจริงๆ เข้ามาดำเนินการ หากใครทำไม่ได้ก็ควรหาคนใหม่เข้ามา ฉะนั้นถ้าอยากจะพัฒนาเรื่องเศรษฐกิจในพื้นที่ ควรพูดคุยเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อนที่จะมีการลงทุนสูงไปกว่านี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า นครพนมเป็นเมืองรอง ซึ่งพยายามผลักดันให้เป็นเมืองหลัก ทั้งนี้ หากดูประวัติศาสตร์นครพนมก็เคยเป็นพื้นที่สู้รบของกลุ่มคอมมิวนิสต์มาก่อน และในอดีตพื้นที่แถวนี้ก็เป็นพื้นที่สงคราม แต่ปัจจุบันเป็นพื้นที่ของสันติภาพ ซึ่งตนอยากให้คนไทยนำบทเรียนนี้มาเป็นการพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น ทั้งเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจ ฉะนั้นต้องพัฒนาเรื่องการค้าตามด่านศุลกากร ทั้งนี้ การพัฒนาต้องใช้งบประมาณ แต่โดยส่วนตัวไม่มีปัญหาในเรื่องงบประมาณ ดังนั้นถ้าจะให้รัฐบาลลงทุนอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องเกิดความร่วมมือในพื้นที่
ไม่ตีรถเปล่า ผลิตสินค้าต้องมีส่งออก-นำเข้า
ก่อนที่นายกรัฐมนตรีและคณะจะประชุมหารือแผนพัฒนาและแก้ไขปัญหาของจังหวัดนครพนมที่มหาวิทยาลัยนครพนม ได้กล่าวช่วงหนึ่งว่า หากเราพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไปแล้ว เรามีสินค้าพาณิชย์มาใช้ตรงนี้หรือไม่ ผลไม้หลักที่ส่งออกคือทุเรียน ปีที่แล้วเราส่งออกทุเรียนไปประมาณ 2 แสนล้านบาท หากเราพัฒนาควบคู่ไปกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน One Stop Service ไม่ให้นักธุรกิจเสียเวลา เชื่อว่าศักยภาพที่เราจะขนถ่ายสินค้าออกไปจะมีประโยชน์ ควบคู่ไปกับกระทรวงพาณิชย์ที่มีสินค้านำเข้าด้วย ไม่เช่นนั้นการตีรถเปล่าเที่ยวเดียวจะไม่คุ้ม ตรงนี้ขอฝากไปด้วย เชื่อว่าสภาหอการค้าไทยมีส่วนสำคัญอย่างมากในการที่จะช่วยพัฒนาจังหวัดให้เป็นเมืองหลัก
ส่วนเรื่องของชลประทาน เศรษฐาระบุว่า ตนเชื่อว่าไม่มีปัญหาอะไร น่าจะจัดการให้ได้ โดยมีการพูดคุยกันอยู่แล้ว ไม่ท่วม ไม่แล้ง เป็นเรื่องสำคัญที่สุดของรัฐบาลนี้ ขอให้สบายใจว่าจะดูแลอย่างเต็มที่ เรื่องของถนนหนทาง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมคงไม่ลำเอียง คงจะบริหารจัดการตรงนี้ได้ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเรื่องของการขนส่ง การขนถ่ายสินค้า
เปิดงานพระธาตุพนม ดันต้นแบบเมืองรองสู่เมืองหลัก
ขณะที่ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีงานนมัสการพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ซึ่งในปีนี้กำหนดจัดงานขึ้นระหว่างวันที่ 17-25 กุมภาพันธ์ 2567 รวม 9 วัน 9 คืน โดยกล่าวเปิดงานพระธาตุพนมช่วงหนึ่งว่า นครพนมเป็นจังหวัดที่มีความโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ มีศักยภาพในการพัฒนา มีทุนทางธรรมชาติและทุนทางวัฒนธรรม เป็นพื้นที่ที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบในการพัฒนาสู่เมืองน่าอยู่ ประตูเศรษฐกิจสู่อนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง
การจัดงานนมัสการพระธาตุพนมครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าจังหวัดนครพนมมีความพร้อมในการเป็นต้นแบบเมืองรองสู่เมืองหลัก เป็นเมืองที่น่ามาเยี่ยมชม มากราบนมัสการขอพรพระธาตุพนม ตลอดจนพระธาตุประจำวันเกิด ทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำโขงที่สวยงาม มีอาหารอร่อย วัฒนธรรมงดงามเป็นอัตลักษณ์ ชนเผ่า ที่สามารถพัฒนาต่อยอดและเชื่อมโยงให้เกิดการท่องเที่ยวรูปแบบต่างๆ ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเพิ่มขึ้น เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ลั่นฆ้องชัยเพื่อเปิดงานนมัสการพระธาตุพนมอย่างเป็นทางการ และพบปะประชาชน ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ก่อนจะเดินทางต่อไปยังจังหวัดสกลนคร โดยในเวลา 17.00 น. นายกรัฐมนตรีจะพบปะประชาชน ณ ตลาดเทศบาลนครสกลนครต่อไป