×

เอสซีจี เดคคอร์ เคาะช่วงราคา IPO ที่ 11.20-11.50 บาท เปิดให้ผู้ถือหุ้น SCC-COTTO จอง 29 พ.ย. – 6 ธ.ค. ประชาชนทั่วไปจองซื้อ 8 และ 12-13 ธ.ค. นี้

22.11.2023
  • LOADING...
เอสซีจี เดคคอร์

บมจ.เอสซีจี เดคคอร์ เดินหน้าระดมทุนขาย IPO หวังนำเงินไปใช้ขยายธุรกิจทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ชำระเงินกู้ ลุยแผนการควบรวมกิจการในอนาคต รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนและปรับโครงสร้างเงินทุน 

 

พิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของ บมจ.เอสซีจี เดคคอร์ หรือ SCGD กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นมา SCGD ได้เริ่มทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ COTTO ที่ราคา 2.40 บาทต่อหุ้น พร้อมกับชำระค่าตอบแทนเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SCGD 

 

โดยที่ช่วงราคาเสนอขาย IPO สุดท้ายที่ 11.20-11.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นช่วงอัตราแลกหุ้นสุดท้ายที่ 4.6667-4.7917 หุ้น COTTO ต่อ 1 หุ้น SCGD ซึ่งกรณีที่มีเศษจะปัดลงทั้งหมด โดยจะสิ้นสุดในวันที่ 6 ธันวาคม 2566  

 

SCGD จะเปิดให้ผู้ถือหุ้นของ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือเอสซีจี และผู้ถือหุ้นของ บมจ.เอสซีจี เซรามิกส์ หรือ COTTO ที่ได้รับสิทธิ เริ่มจองซื้อหุ้น IPO ของ SCGD ในวันที่ 29 พฤศจิกายน – 6 ธันวาคม 2566 ที่ราคา 11.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขาย IPO สุดท้าย จากนั้นในวันที่ 6 ธันวาคม 2566 จะมีการประกาศราคาเสนอขายสุดท้ายให้ประชาชนทั่วไปซึ่งเป็นนักลงทุนรายย่อยสามารถจองซื้อได้ในวันที่ 8 และ 12-13 ธันวาคม 2566   

 

ด้าน นำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เอสซีจี เดคคอร์ หรือ SCGD กล่าวว่า SCGD มีความมั่นใจและมีความพร้อมเต็มที่ในการขยายธุรกิจเชิงรุกสู่ภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง และมีมูลค่าตลาดรวมวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์สูงถึงประมาณ 5.2 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.80 แสนล้านบาท โดยมีแผนที่จะเติบโตจากการขยายธุรกิจจากประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะธุรกิจสุขภัณฑ์ ซึ่งบริษัทฯ มียอดขายสุขภัณฑ์อันดับหนึ่งในไทยและเป็นสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดี รวมถึงต่อยอดธุรกิจตกแต่งพื้นผิวด้วยการขยายตลาดกระเบื้องไวนิล SPC และ LVT ซึ่งเป็นสินค้าทางเลือกใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย  

   

“บริษัทฯ​ ได้ลงทุนสายการผลิตกระเบื้องไวนิล Stone Plastic Composite (SPC) มีกำลังการผลิต 1.8 ล้านตารางเมตรต่อปี ที่โรงงานหินกอง จังหวัดสระบุรี ใช้งบลงทุน 138 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จกลางปี 2567 เพื่อเตรียมขยายตลาดทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน 

 

“พร้อมทั้งเตรียมลงทุนขยายกำลังการผลิตกระเบื้องพอร์ซเลนรวม 6.6 ล้านตารางเมตรต่อปีในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศเวียดนาม โดยเป็นกำลังการผลิตใหม่ 1.65 ล้านตารางเมตรต่อปี และทดแทนกำลังการผลิตเดิมอีก 4.95 ล้านตารางเมตรต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จต้นปี 2568  

    

“ในไตรมาส 3/66 บริษัทฯ ได้เริ่มเดินเครื่องจักรสายการผลิตใหม่ที่โรงงาน Dai Loc ในประเทศเวียดนาม มีกำลังการผลิตกระเบื้องเซมิ-เกลซ พอร์ซเลน (Semi- Glazed Porcelain) และกระเบื้องขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น 1.38 ล้านตารางเมตรต่อปี นอกจากนี้ยังเตรียมแผนลงทุนโรงงานในพื้นที่ภาคใต้ของเวียดนาม เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดอีกด้วย”     

 

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีกลยุทธ์หลักที่สำคัญ ได้แก่ ขยายผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่องให้ครอบคลุมการตกแต่งยิ่งขึ้น โดยร่วมมือกับโรงงานแต่ละประเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและบริหารต้นทุน รวมถึงมุ่งสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์รักษ์โลกและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 

 

โดยในไตรมาสที่ผ่านมาได้เริ่มโครงการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์และโครงการใช้ชีวมวลผลิตลมร้อนในกระบวนการผลิตผงดิน ซึ่งช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานลงได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย 

 

ปัจจุบัน SCGD ทำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน โดยมียอดขายกระเบื้องเซรามิกอันดับหนึ่งในไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ รวมถึงมียอดขายสุขภัณฑ์อันดับหนึ่งในไทย และมีแบรนด์สินค้าเป็นที่ยอมรับในภูมิภาค โดยมีธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจตกแต่งพื้นผิว (Decor Surfaces) ประกอบด้วย กระเบื้องปูพื้นบุผนัง กระเบื้องไวนิล SPC และกระเบื้องไวนิล LVT (Luxury Vinyl Tile) รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง เช่น กาวซีเมนต์และกาวยาแนว เป็นต้น รวมทั้งธุรกิจสุขภัณฑ์ ได้แก่ สุขภัณฑ์ ก๊อกน้ำ และอุปกรณ์ห้องน้ำ โดยมีฐานการผลิตในประเทศไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ และมีช่องทางจัดจำหน่ายหลากหลายรูปแบบและครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาค รวมถึงส่งออกสินค้าถึง 57 ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา, เยเมน, ไต้หวัน, เกาหลี, ญี่ปุ่น และกัมพูชา เป็นต้น  

 

ส่วน สมิทธิ โกสีย์เจริญ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บมจ.เอสซีจี เดคคอร์  กล่าวถึงภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2563-2565 ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 24,378.6 ล้านบาท, 25,937.4 ล้านบาท และ 30,253.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4% และ 16.6% จากปีก่อน ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 1,235.9 ล้านบาท, 1,401.9 ล้านบาท และ 1,320.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.4% และลดลง 5.8% จากปีก่อน ตามลำดับ 

 

ขณะที่ผลการดำเนินงานภาพรวม 9 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้จากการขาย 21,522 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้หลักมาจากธุรกิจตกแต่งพื้นผิว 77% และสุขภัณฑ์ 18% ส่วนที่เหลืออีก 5% มาจากธุรกิจอื่นๆ และมีกำไรสุทธิ 760 ล้านบาท ชะลอตัวเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้ที่ลดลงของธุรกิจตกแต่งพื้นผิวในเวียดนามซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ 

 

อย่างไรก็ตาม รายได้จากการขายในไตรมาส 3/66 เท่ากับ 7,186 ล้านบาท และกำไรสุทธิเท่ากับ 280 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วและตลาดมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในปีหน้า   

    

“SCGD เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ซึ่งรวมถึงการเสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นเดิมของ COTTO เพื่อแลกหุ้นและเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปไม่เกิน 439.10 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 26.61% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ

 

“โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายธุรกิจทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและดำเนินงาน เพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน ชำระเงินกู้ การควบรวมกิจการในอนาคต รวมทั้งเป็นเงินทุนหมุนเวียนและปรับโครงสร้างเงินทุน ภายหลังปรับโครงสร้างและเสนอขาย IPO แล้วเสร็จ SCGD จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีผลให้ผู้ถือหุ้น COTTO ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์กลายเป็นผู้ถือหุ้นของ SCGD ”

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising