×

‘สาธารณสุข’ หรือ ‘เสรีภาพ’ เมื่อศาลสหรัฐฯ เพิกถอนคำสั่งบังคับสวมหน้ากาก

22.04.2022
  • LOADING...
ศาลสหรัฐฯ เพิกถอนคำสั่งบังคับสวมหน้ากาก

สุขภาพกับเสรีภาพมักเป็นคู่ตรงข้ามกัน โดยเฉพาะเมื่อยกระดับสุขภาพของแต่ละคนเป็น ‘สาธารณสุข’ (Public Health) หรือสุขภาวะของประชากร เพราะ ‘เสรีภาพ’ ของคนหนึ่งอาจกระทบต่อสุขภาพของส่วนรวม การระบาดของโควิดเป็นตัวอย่างหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นประเทศที่ยึดถือหลักเสรีภาพของประชาชน แต่สหรัฐอเมริกาในยุคของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ออกคำสั่งบังคับให้ประชาชนสวมหน้ากากในระบบขนส่งสาธารณะเพื่อป้องกันการระบาดของโควิด ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 เป็นต้นมา

 

ทว่าเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2022 แคทรีน คิมบอล มิเซลล์ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นแห่งรัฐฟลอริดา พิพากษาเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ซึ่งออกโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค สหรัฐฯ (CDC) ส่งผลให้ประชาชนไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากในระบบขนส่งสาธารณะอีกต่อไป เช่น เครื่องบิน รถไฟ รถโดยสารประจำทาง แท็กซี่ รวมถึงบริการรถยนต์ร่วมโดยสารอย่าง Uber ด้วย หลายสายการบินแจ้งผู้โดยสารทันทีขณะขึ้นเครื่องบิน และผู้โดยสารหลายคนถอดหน้ากากออกด้วยความยินดี

 

ทำไมศาลสหรัฐฯ ถึงเพิกถอนคำสั่งนี้ รัฐกลางสหรัฐฯ มีท่าทีอย่างไร และคำพิพากษานี้จะส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของ CDC หรือไม่

 

คำสั่งบังคับสวมหน้ากาก

 

1 สัปดาห์หลังโจ ไบเดนปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี CDC ออกคำสั่งภายใต้บัญญัติการบริการสาธารณสุข (Public Health Service Act) และระเบียบข้อบังคับรัฐบาลกลาง (CFR) ให้ประชาชนสวมหน้ากากขณะอยู่บนยานพาหนะและในสถานีขนส่งสาธารณะเพื่อป้องกันการระบาดของโควิด โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพื้นที่และอาจถูกปรับตามที่คณะกรรมการกำกับดูแลความปลอดภัยด้านการขนส่ง (TSA) กำหนด

 

ต่อมา CDC แก้ไขคำสั่งนี้ 2 ครั้ง คือวันที่ 10 มิถุนายน 2021 ไม่บังคับสวมหน้ากากในพื้นที่นอกอาคาร (Outdoor) ของระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งอากาศถ่ายเทสะดวก และวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2022 แก้ไขให้ไม่ต้องสวมหน้ากากในรถโดยสารของโรงเรียน ซึ่งเป็นการแก้ไขให้สอดคล้องกับแนวทางของ CDC ที่ไม่แนะนำให้นักเรียนชั้นอนุบาลถึงเกรด 12 (K-12) และก่อนชั้นอนุบาลสวมหน้ากากในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโควิดระดับต่ำหรือปานกลาง

 

และล่าสุดเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2022 รัฐบาลกลางของไบเดนเพิ่งประกาศขยายเวลาบังคับใช้คำสั่งนี้ต่อไปอีก 15 วัน ซึ่งเดิมจะครบกำหนดวันที่ 18 เมษายน เนื่องจากการระบาดของโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ดังนั้นหากไม่มีคำพิพากษาของศาล คำสั่งนี้จะมีผลไปจนถึงวันที่ 3 พฤษภาคม ในขณะที่สายการบินต่างๆ เรียกร้องให้รัฐบาลกลางยกเลิกคำสั่งบังคับสวมหน้ากากและการตรวจหาเชื้อก่อนเดินทางเข้าสหรัฐฯ

 

คำพิพากษาของศาลชั้นต้น 

 

คดีนี้เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2021 กลุ่มอนุรักษนิยม Health Freedom Defense Fund (HFDF) และผู้อาศัยในรัฐฟลอริดา 2 คน ซึ่งอ้างว่าการสวมหน้ากากทำให้เกิดความวิตกกังวลและแพนิกกำเริบ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องประธานาธิบดีไบเดนว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายและละเมิดบัญญัติวิธีปฏิบัติทางปกครอง (Administrative Procedure Act: APA) ซึ่งสำนักข่าว CNN สรุปคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งบังคับสวมหน้ากากในระบบขนส่งสาธารณะข้างต้นใน 3 ประเด็น กล่าวคือ

 

  1. สุขาภิบาล (Sanitation) ผู้พิพากษาเริ่มต้นจากนิยามของคำว่า ‘สุขาภิบาล’ ในบัญญัติการบริการสาธารณสุขที่ระบุว่า ในการป้องกันการระบาดของโรคติดต่อ รัฐบาลสามารถจัดการตรวจตรา การอบควัน สุขาภิบาล การกำจัดศัตรูพืช การทำลายสัตว์หรือสิ่งของที่พบว่าติดเชื้อหรือปนเปื้อน ซึ่งเป็นแหล่งของการติดเชื้ออันตรายต่อมนุษย์ และมาตรการอื่นที่เห็นสมควร โดยเห็นว่าคำนี้หมายถึงการทำความสะอาดสิ่งของ ในขณะที่ “การสวมหน้ากากไม่ใช่การทำความสะอาด” 

 

“อย่างมากที่สุดมันดักจับละอองไวรัส แต่มันไม่ทำความสะอาด (Sanitize) ผู้ที่สวมหน้ากาก หรือทำความสะอาดยานพาหนะ” ผู้พิพากษากล่าว ดังนั้นคำสั่งของ CDC ที่ให้เหตุผลว่าการสวมหน้ากากลดการแพร่ระบาดของโควิด โดยไม่ทำลายหรือกำจัดมัน จึงเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนด 

 

  1. การกักขังและกักกัน (Detention and Quarantine) ผู้เดินทางที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งจะถูกบังคับออกจากที่นั่งบนเครื่องบิน ถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นรถโดยสาร และถูกกีดกันที่ทางเข้าสถานีรถไฟ คล้ายกับการกักขังและกักกัน “การบังคับสวมหน้ากากไม่ใช่การจัดสุขาภิบาล แต่เป็นการใช้อำนาจของ CDC ในการปล่อยให้บุคคลเดินทางอย่างมีเงื่อนไขแม้จะมีความกังวลว่าพวกเขาอาจแพร่เชื้อ (และกักขังหรือกักกันผู้ที่ปฏิเสธ)” ซึ่งปกติแล้วจะบังคับใช้เฉพาะผู้ที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ จากต่างประเทศเท่านั้น

 

  1. การละเมิดบัญญัติวิธีปฏิบัติทางปกครอง (APA) นอกจากนี้ผู้พิพากษายังเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวขัดกับ APA ซึ่งรัฐบาลกลางต้องปฏิบัติตาม โดยรัฐบาลของไบเดนไม่ได้ผ่านการแจ้งให้ทราบและฟังความเห็นจากสาธารณะ (Public Notice-and-Comment) และยังเป็นการปฏิบัติตามอำเภอใจ เนื่องจากไม่ได้อธิบายเหตุผลในการบังคับใช้อย่างเพียงพอ ทั้งนี้ CDC ระบุในคำสั่งว่า การออกคำสั่งไม่อยู่ภายใต้ APA แต่เป็นการปฏิบัติการฉุกเฉินภายใต้อำนาจที่มีอยู่ตามระเบียบข้อบังคับรัฐบาลกลาง

 

สำนักข่าว CNN ตั้งข้อสังเกตว่า แคทรีน คิมบอล มิเซลล์ เป็นผู้พิพากษาศาลสหรัฐฯ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ และที่ผ่านมาเคยมีการฟ้องร้องให้เพิกถอนคำสั่งนี้หลายครั้งต่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา แต่ไม่มีศาลใดหรือผู้พิพากษาท่านใดพิพากษาเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว โดยในคดีเหล่านั้นผู้พิพากษาให้น้ำหนักของความฉุกเฉินหรือคำสั่งเบื้องต้น ในขณะที่มิเซลล์พิจารณาความถูกต้องตามตัวบทกฎหมาย

 

ท่าทีของรัฐบาลกลาง

 

ภายหลังจากมีคำพิพากษา TSA ประกาศว่าไม่มีการบังคับสวมหน้ากากในระบบขนส่งสาธารณะอีกต่อไป ส่วนเจน ซากี โฆษกทำเนียบขาว แถลงในวันเดียวกันว่าเป็นการตัดสินที่น่าผิดหวัง และยังไม่มีคำตอบว่าจะมีการยื่นอุทธรณ์หรือไม่ แต่วันถัดมา (19 เมษายน 2022) กระทรวงยุติธรรม สหรัฐฯ ประกาศว่าพร้อมยื่นอุทธรณ์หาก CDC เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวยังจำเป็นต่อสาธารณสุข ในขณะที่ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวกับนักข่าวระหว่างเดินทางไปรัฐนิวแฮมป์เชอร์ว่าการตัดสินใจสวมหน้ากากขึ้นกับประชาชนเอง

 

ความเห็นของนักกฎหมาย

 

“คุณอยู่ในสถานะที่มีตัวเลือกที่น่ากลัว 2 ทาง” ลอว์เรนซ์ โอ. กอสติน นักกฎหมายด้านสาธารณสุขแห่งมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว The New York Times “ทางหนึ่งคือเสี่ยงที่จะพรากอำนาจของ CDC ไปตลอดกาลหากการพิจารณาขึ้นไปถึงศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา และในทางกลับกัน ถ้าคุณปล่อยให้สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นการตัดสินที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายโดยผู้พิพากษาท่านนี้เดินหน้าต่อไป CDC จะไม่กล้าทำสิ่งที่เห็นว่ามีประสิทธิผลในการปกป้องประชาชน”

 

ส่วนอีริน ฟิวส์ บราวน์ ศาสตราจารย์ด้านกฎหายจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐจอร์เจีย ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว NPR ว่าคำพิพากษาดังกล่าว “เหมือนคนที่ตัดสินคดีไปแล้วพยายามอธิบายด้วยเหตุผลทางกฎหมาย โดยไม่ได้ให้เหตุผลทางกฎหมายจริงๆ” สำหรับความเข้าใจเรื่อง ‘สุขาภิบาล’ เธอเห็นว่าอาจเป็นความจริงสำหรับประชาชนทั่วไป แต่สำหรับ CDC การจัดสุขาภิบาลเป็นเพียงสำนวนเก่าในการดำเนินการด้านสาธารณสุขแบบดั้งเดิมเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค

 

คำแนะนำของ CDC

 

หากตัดประเด็นด้านกฎหมายออกไป CDC ยังคงแนะนำการสวมหน้ากากเพื่อป้องกันการระบาดของโควิด โดยพิจารณาจากระดับโควิดในชุมชน (COVID-19 Community Level) ซึ่งแบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ 

  • ระดับต่ำ การสวมหน้ากากขึ้นกับแต่ละบุคคล 
  • ระดับปานกลาง ผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือมีความเสี่ยงต่ออาการรุนแรงควรสวมหน้ากากในพื้นที่สาธารณะภายในอาคาร 
  • ระดับสูง ทุกคนควรสวมหน้ากากในพื้นที่สาธารณะภายในอาคาร 

 

ปัจจุบันพื้นที่ในสหรัฐฯ มากกว่า 90% จัดเป็นระดับต่ำ ประชาชนส่วนใหญ่จึงไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากาก

 

ส่วนการเดินทางในระบบขนส่งสาธารณะ CDC เห็นว่าเพิ่มความความเสี่ยงต่อการได้รับและแพร่เชื้อ เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่นเป็นระยะเวลานานและสัมผัสกับพื้นผิวที่สัมผัสร่วมกัน การเดินทางด้วยเครื่องบินมักใช้เวลาในอาคารผู้โดยสารเครื่องบินที่มีพลุกพล่าน ส่วนการเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทาง รถไฟ และยานพาหนะอื่นไม่สามารถเว้นระยะห่างจากผู้อื่นได้ อีกทั้งการเดินทางมักทำให้เกิดการระบาดระหว่างรัฐ / ประเทศ ผู้โดยสารจึงต้องสวมหน้ากาก

 

การสวมหน้ากากระหว่างเดินทางยังปกป้องกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบที่ไม่ควรสวมหน้ากาก, เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบที่ยังไม่มีวัคซีนสำหรับช่วงอายุนี้, ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว ที่ถึงแม้จะสวมหน้ากาก แต่ถ้าผู้ที่อาจติดเชื้อสวมหน้ากากด้วยจะทำให้มีความปลอดภัยยิ่งขึ้น การยกเลิกคำสั่งดังกล่าวจึงเพิ่มความเสี่ยงต่อประชาชนกลุ่มนี้ และประกอบกับความต้องการเดินทางที่สูงขึ้น อาจทำให้การระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

 

ไม่ว่าจะเป็น ‘การขอความร่วมมือ’ หรือ ‘การบังคับ’ ต่างมีข้อดี-ข้อเสีย ในทางสาธารณสุขการบังคับมักเป็นตัวเลือกสุดท้ายหลังจากใช้มาตรการอื่นแล้วไม่ได้ผล ส่วนการฟ้องร้องต่อศาลเป็นการถ่วงดุลอำนาจอย่างหนึ่ง คำพิพากษามุ่งไปที่ประเด็นเชิงเทคนิค ตีความคำว่า ‘สุขาภิบาล’ ตามตัวอักษร และยึดบัญญัติวิธีปฏิบัติทางปกครองในการพิจารณา ซึ่งจะส่งผลต่อการทำหน้าที่ของ CDC ในภาวะฉุกเฉินในอนาคต

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X