×

เปิดฉากพรีเมียร์ลีก 2021/22: สตาร์หน้าใหม่ การกลับมาของแฟนบอล และ VAR 2.0

โดย THE STANDARD TEAM
13.08.2021
  • LOADING...
Premier League 2021/22

คืนนี้ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกจะเริ่มต้นเปิดฉากการแข่งขันฤดูกาลใหม่ 2021/22 กันอีกครั้ง โดยเกมแรกจะเป็นการพบกันระหว่างเบรนท์ฟอร์ด ทีมน้องใหม่ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมา กับทีม ‘ปืนใหญ่’ อาร์เซนอล ซึ่งจะถือเป็นเกมแรกของการแข่งขันทั้งหมด 380 นัดตลอดฤดูกาล

 

โดยในฤดูกาลนี้แม้เราจะยังอยู่ท่ามกลางโรคระบาด แต่ดูเหมือนว่าพรีเมียร์ลีกจะเป็นลีกฟุตบอลเดียวที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับลีกอื่นๆ ที่ ‘เจ็บหนัก’ จากการที่ไม่สามารถให้แฟนบอลเข้าชมสนามได้เป็นระยะเวลามากกว่า 1 ฤดูกาล แม้กระทั่งทีมอย่าง เรอัล มาดริด หรือ บาร์เซโลนา ที่เป็นมหาอำนาจเองก็ตาม

 

นั่นทำให้เรายังได้เห็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของสโมสรจากพรีเมียร์ลีกในการปรับทัพเสริมทีมอย่างสนุกสนาน และดูจากทิศทางแล้วมีความเป็นไปได้ที่การขับเคี่ยวในฤดูกาลนี้จะกลับมาทวีความรุนแรงมากกว่าในช่วง 2-3 ฤดูกาลที่ผ่านมา

 

เพื่อเป็นการ ‘อุ่นเครื่อง’ THE STANDARD ขอสรุปสิ่งที่น่าจับตามองสำหรับพรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่ให้ได้เห็นภาพกันกว้างๆ ดังนี้

 

สตาร์หน้าใหม่เพียบ!

ท่ามกลางสภาวการณ์ลำบากของสโมสรฟุตบอลทั่วโลก แต่สโมสรพรีเมียร์ลีกโดยเฉพาะกลุ่มทีมชั้นนำมีการปรับทัพเสริมทีมอย่างสนุกสนาน

 

โดยช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ‘บิ๊กดีล’ หลายราย ไม่ว่าจะเป็น จาดอน ซานโช ที่สมหวังได้ย้ายจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สำเร็จก่อนที่ ‘ปีศาจแดง’ จะคว้าตัว ราฟาเอล วาราน กองหลังระดับโลกจากเรอัล มาดริดมา โดยสองคนมีค่าตัวรวมกันที่ 107 ล้านปอนด์

 

ด้านแชมป์เก่าอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่แข็งแกร่งมากที่สุดอยู่แล้วไม่ได้หยุดแค่นี้ โดยคว้า แจ็ค กรีลิช นักเตะที่มีพรสวรรค์ที่สุดของอังกฤษมาจากแอสตัน วิลลา ด้วยค่าตัว 100 ล้านปอนด์ ซึ่งทำให้สตาร์วัย 25 ปีกลายเป็น ‘นักเตะร้อยล้าน’ คนแรกของวงการฟุตบอลอังกฤษ

 

โดยที่สถิตินี้อาจถูกทำลายได้ในเวลาอันใกล้ หาก ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ยอมปล่อยตัว แฮร์รี เคน มาให้ ซึ่งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เขียนเช็กรอไว้แล้วที่ 150 ล้านยูโร ขณะที่ทีม ‘ไก่เดือยทอง’ บอกว่าหน่วยผิด เพราะต้องการ 150 ล้านปอนด์ (ยังต่างกันอยู่ 23 ล้านปอนด์)

 

โดยที่ทีมจากลอนดอนมีการมองนักเตะตัวตายตัวแทนไว้แล้ว 2 รายด้วยกันคือ เลาตาโร มาร์ติเนซ กองหน้าทีมชาติอาร์เจนตินาจากอินเตอร์ มิลาน ซึ่งดูเหมือนจะยาก เพราะแชมป์อิตาลีเพิ่งปล่อยตัว โรเมลู ลูกากู ให้กับเชลซีอย่างเป็นทางการในวันนี้ที่ราคา 115 ล้านยูโร หรือ 97.5 ล้านปอนด์ ซึ่งทำให้ตอนนี้กองหน้าเบลเยียมเป็นเจ้าของสถิตินักเตะค่าตัวแพงที่สุดอันดับ 2 ของพรีเมียร์ลีกด้วยต่อจากกรีลิช อีกรายที่สเปอร์สต้องการคือ ดูซาน วลาโฮวิช ดาวยิงทีมชาติเซอร์เบียจากฟิออเรนตินา ไม่นับที่ได้ คริสเตียน โรเมโร กองหลังอาร์เจนไตน์มาจากอตาลันตา ด้วยราคา 42.5 ล้านปอนด์ก่อนแล้ว

 

ขณะที่ลิเวอร์พูล อดีตแชมป์เมื่อ 2 ฤดูกาลก่อนแก้ปัญหาในเกมรับด้วยการคว้าตัว อิบราฮิมา โคนาเต กองหลังดาวรุ่งทีมชาติฝรั่งเศสมาจากแอร์เบ ไลป์ซิกในราคา 35 ล้านปอนด์ และอาจจะมีการเสริมทัพอีกหากสามารถเคลียร์นักเตะเก่าในทีมที่ไม่อยู่ในแผนเพิ่มเติมโดยเฉพาะรายของ เซอร์ดาน ชากิรี และ ดิว็อค โอริกิ 

 

เลสเตอร์ ซิตี้ก็เป็นอีกทีมที่เสริมทัพได้น่าสนใจ โดยได้ทั้ง พัตสัน ดากา กองหน้าดาวเด่นเรดบูลซัลซ์บวร์ก, บูบาการี ซูมาเร กองกลางฝีเท้าดีจากลีลล์ ​แชมป์ลีกเอิง และ ไรอัน เบอร์ทรานด์ แบ็กซ้ายประสบการณ์สูงจากเซาแธมป์ตัน

 

แอสตัน วิลลาเปลี่ยนทุนจากการขายกรีลิช เป็น เอมิเลียโน บูเอนเดีย จอมเทคนิกชาวอาร์เจนตินาจากนอริช ซิตี้, ลีออน ไบลีย์ ตัวทำเกมจากเลเวอร์คูเซน และ แดนนี อิงส์ กองหน้าที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของอังกฤษจากเซาแธมป์ตันในสนนราคารวม 83 ล้านปอนนด์

 

ขณะที่อาร์เซนอลที่จะลงสนามคืนนี้ก็เสริมทัพ 3 รายคือ นูโน ตาวาเรส ฟูลแบ็ก, อัลแบร์ โลกองกา กองกลางดาวรุ่งจากอันเดอร์เลชต์ และ เบน ไวต์ กองหลังดีกรีทีมชาติอังกฤษที่ทุ่มซื้อจากไบรท์ตันมาด้วยราคาถึง 50 ล้านปอนด์

           

ผู้จัดการทีมหน้าใหม่

ในฤดูกาลใหม่มีการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งผู้จัดการทีมถึง 4 สโมสรด้วยกันหรือคิดเป็น 1 ใน 5 ของจำนวนทั้งหมด

 

คนที่ถูกจับตามองมากที่สุดย่อมหนีไม่พ้น ราฟาเอล เบนิเตซ อดีตผู้จัดการทีมระดับตำนานของลิเวอร์พูลที่รับข้อเสนอในการคุมทีมเอฟเวอร์ตัน ทำให้เป็นกุนซือคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่ข้ามฟากสวนสแตนลีย์โดยที่ไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีนักจากแฟนทีมทอฟฟี่

 

อีกคนที่เปลี่ยนแปลงตำแหน่งคือ นูโน เอสปิริโต ซานโต ที่อำลาวูล์ฟสเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลที่แล้ว และได้โอกาสมาคุมทีมท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ซึ่งแม้จะต้องลุ้นกันพักใหญ่ว่าใครจะได้คุมทีม แต่กุนซือชาวโปรตุเกสก็เป็นคนที่ได้รับการยอมรับในวงการฟุตบอลอังกฤษเช่นกัน

 

บรูโน ลาเก คือคนที่มาแทนที่ของนูโนในทีมวูล์ฟส ซึ่งมาจากโปรตุเกสเหมือนกันแต่เป็นสโมสรเบนฟิกาที่ปล่อยตัวมา ขณะที่คริสตัล พาเลซ ซึ่ง รอย ฮอดจ์สัน กุนซือขรัวเฒ่าของวงการประกาศอำลาวงการไปนั้นได้ ปาทริก วิเอรา อดีตมิดฟิลด์กัปตันทีมอาร์เซนอลชุดตำนานไร้พ่ายมาทำหน้าที่แทน

 

ในกลุ่ม 3 สโมสรน้องใหม่ก็น่าสนใจเช่นกัน โดย นอริช ซิตี้ ที่ได้เลื่อนชั้นกลับมายังใช้บริการของ ดาเนียล ฟาร์เค โค้ชที่เน้นสไตล์การเล่นที่สวยงาม ขณะที่เบรนท์ฟอร์ดมี โธมัส แฟรงค์ กุนซือมือดีที่ทำทีมในสไตล์เกมบุกดุดัน ส่วนวัตฟอร์ดมี ซิสโก มูนยอซ กุนซือมือใหม่ที่ทำทีมปีเดียวก็พาทีมขึ้นชั้นได้เลยถือว่าไม่ธรรมดา

 

การกลับมาของแฟนฟุตบอลแบบ (เกือบ) ‘เต็มสนาม’

นับตั้งแต่เดือนมีนาคมปีกลาย สีสันของเกมฟุตบอลอังกฤษได้หายไปมากเนื่องจากแฟนฟุตบอลไม่สามารถเข้าชมเกมในสนามได้ ซึ่งสิ่งนี้สร้างผลกระทบต่อสโมสรอย่างรุนแรงด้วย

 

เพียงแต่ด้วยมาตรการในการปูพรมฉีดวัคซีนของรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งได้ผลทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเป็นลำดับ มาตรการเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมที่มีผู้ชมจำนวนมากอย่างฟุตบอลค่อยๆ ได้รับการผ่อนปรนขึ้น และเราได้เห็นสัญญาณที่ดีมาตั้งแต่ปลายฤดูกาลเริ่มจากนัดชิงฟุตบอลถ้วยลีกคัพ เอฟเอคัพ

 

ก่อนที่แฟนบอลจะได้รับอนุญาตให้กลับเข้าสนามได้ในช่วง 2 นัดสุดท้ายของพรีเมียร์ลีก (เพื่อให้ทุกทีมได้มีโอกาสต้อนรับแฟนบอลเท่ากันทีมละ 1 นัด) ต่อด้วยฟุตบอลยูโร 2020 ที่ตัดประเด็นความวุ่นวายในนัดชิงที่เวมบลีย์ออกไปก็ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ทำให้แฟนบอลกลับมา ทุกอย่างเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง

 

มาถึงในฤดูกาลนี้ทางรัฐบาลอังกฤษประกาศปลดล็อกทุกอย่างมาตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม เพื่อให้สามมารถต้อนรับแฟนฟุตบอลกลับมาอีกครั้งในฤดูกาล 2021/22 โดยจะเริ่มแบบ ‘เกือบเต็มความจุ’ โดยจะมีการยกเว้นที่นั่งที่ติดกับขอบสนามที่ยังถือเป็นพื้นที่ ‘Red Zone’ ไว้

 

ขณะที่มาตรการสำหรับการเข้าไปชมเกมในสนามนั้นปัจจุบันคือการตรวจผ่านแอปพลิเคชันของ NHS ว่ามีการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มหรือไม่ หรือมีการตรวจ PCR ที่พิสูจน์ว่าไม่มีเชื้อโควิดล่วงหน้า 2 วันก่อนแข่ง

 

VAR 2.0

หนึ่งในสิ่งที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักตั้งแต่ฤดูกาล 2019/20 มาจนถึง 2020/21 คือระบบช่วยตัดสิน Video Assistant Referee หรือ VAR ที่ทำให้เกิดความกังขามากกว่าความชัดเจน

 

ในฤดูกาลใหม่นี้พรีเมียร์ลีกจะมีการปรับปรุงการตัดสินใหม่ด้วยกัน โดยจุดที่ชัดเจนที่สุดคือจะมีการตีเส้นทึบ ‘หนาขึ้น’ สำหรับการตัดสินว่ามีการล้ำหน้าหรือไม่ เพื่อลดปัญหากรณีล้ำหน้าด้วยรักแร้ ปลายเท้า หรือชายเสื้อ

 

VAR จะถูกใช้เพื่อลดการตัดสินที่ ‘หยุมหยิม’ เกินไปของผู้ตัดสิน กรณีตัวอย่างคือในลูกที่ ราฮีม สเตอร์ลิง ล้มลงในกรอบเขตโทษในเกมรอบรองชนะเลิศฟุตบอลยูโร 2020 กับทีมชาติเดนมาร์ก ลูกนี้ถ้าเกิดขึ้นในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่จะไม่ได้เป็นจุดโทษ

 

สำหรับกฎอื่นๆ ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงคือลูกแฮนด์บอล โดยแฮนด์บอลโดยเจตนานั้นจะมีการดูตำแหน่งของมือหรือแขนว่าเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของร่างกายหรือไม่ (คือถ้าเป็นการเคลื่อนไหวธรรมชาติก็จะไม่เป็นไร) หรือมีเจตนาใช้เพื่อขวางบอลอย่างชัดเจนหรือไม่ ส่วนการแฮนด์บอลโดยไม่เจตนานั้นจะดูจังหวะเกมรุกว่าตัวรุกทำประตูได้โดยตรงหรือทันทีหลังบอลสัมผัสมือหรือแขนหรือไม่

 

และในจังหวะล้ำหน้าผู้ช่วยผู้ตัดสินจะสามารถยกธงได้ทันทีหากดูแล้วชัดเจนว่าล้ำหน้า โดยไม่ปล่อยให้มีการเล่นต่อไปแล้วค่อยยกธงในภายหลัง

           

พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้นักฟุตบอลเห็นชอบร่วมกันที่จะยังคงคุกเข่าก่อนเกมเพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านการเหยียดสีผิวและจะมีการติดตรา No Room for Racism เหมือนเดิม แต่หากใครไม่ต้องการคุกเข่าก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด เพราะเป็นความสมัครใจ

 

ส่วนคำถามสำคัญที่สุดที่หลายคนอยากรู้คือ ฤดูกาลนี้จะมีใครล้มแชมป์เก่าอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ได้ไหมนั้น

 

อยากฟังคำตอบจากชาว THE STANDARD เช่นกันในเรื่องนี้!

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising