×

เรียน (ไม่) จบแฟชั่นดีไซน์ที่เนเธอร์แลนด์ แต่ก็กลับมาเปิดแบรนด์ของตัวเองได้

22.12.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

Time Index

01.23 ตัดสินใจจะเป็นนักเรียนนอก

05.52 บรรยากาศมหาวิทยาลัยศิลปะที่เนเธอร์แลนด์

15.29 การเป็นอยู่ในเมืองอาร์เนม

19.53 แฟนชาวดัตช์ในเมืองดัตช์

23.29 ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะบอกตัวเองว่าอย่างไร

29.13 หลังจากผ่านไป 1 ปี

32.05 เรื่องความรัก

35.58 ฝากถึงคนที่อยากเรียนเป็นดีไซเนอร์

ป่าน-นวพรรณ เกตุมณี ตัดสินใจทิ้งการเรียนปริญญาตรีด้านมนุษยศาสตร์ที่เรียนมา เพื่อตามความฝันไปเรียนแฟชั่นที่ต่างประเทศ ไกลถึงเมืองอาร์เนม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่นั่นป่านพบกับเรื่องไม่คาดฝันมากมาย ทั้งการเรียนการสอนที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ อาจารย์ที่เหมือนจะไม่ชอบหน้าป่าน และการคบหากับแฟนหนุ่มชาวดัตช์

 

หลังจากทนเรียนกับภาษาที่ไม่คุ้นอยู่ 1 ปี ป่านตัดสินใจลาออกกลับบ้าน และใช้ความรู้เท่าที่ร่ำเรียนมา เปิดแบรนด์ส่วนตัวชื่อว่า MUETTA ทำเสื้อผ้าคอลเล็กชันคอนเซปต์จัดได้น่าสนใจ ถึงแม้จะไม่ได้เรียนจนจบ เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าแรงบันดาลใจทางศิลปะอาจไม่ได้มาจากใบปริญญา

 

เหตุผลที่ชอบแฟชั่น

ตั้งแต่เด็กจะมีสมุดกับดินสอติดตัวอยู่เลย มีตุ๊กตาบาร์บี้ ตัดผ้า เย็บมือเอง ใส่ได้ไม่ได้ก็แล้วแต่ แม่จะมีจักรเย็บผ้าอยู่ที่บ้าน มีผ้า ก็ขโมยเศษผ้าแม่มาตัดเสื้อผ้าให้บาร์บี้ใส่

 

ตัดสินใจจะเป็นนักเรียนนอก

ไปเรียนที่เมืองอาร์เนม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นการไปเรียนที่คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นด้วยสักเท่าไร เพราะป่านดรอปเรียนปริญญาตรีเลย ตอนนั้นเป็นช่วงหลังจากที่ป่านเรียนจบจากสถาบันออกแบบนานาชาติชนาพัฒน์ แล้วป่านก็ส่งพอร์ตโฟลิโอไปที่เมืองอาร์เนมนี้ แม่ก็มาบอกว่าอยากให้เรียนปริญญาที่ไทยจบก่อน แต่ป่านคิดว่าถ้าเรียนจบไปก็เหมือนเรียนให้พ่อแม่ แค่ได้ปริญญา เพราะไม่ใช่สิ่งที่อยากทำจริงๆ ก็เลยไปเรียนที่นู่น เรียนปริญญาตรีใหม่ ก็เหมือนจะโลกสวยนะ ความมั่นใจมันเยอะมาก

 

เลือกเรียนที่มหาวิทยาลัย ArtEZ

ที่เลือกที่นี่เพราะใช้วิธีดูว่าเราชอบงานของดีไซเนอร์คนไหน ก็มาจบที่ Viktor & Rolf เป็นแนวคอนเซปต์จัดมาก ซึ่งพวกเขาจบจากที่ Arnhem Academy of Art and Design (ซึ่งเป็นแคมปัสหนึ่งของ ArtEZ ในปัจจุบัน) ก็เลยมาเรียนที่นี่

 

เราด้วยความที่เป็นนักเรียนจากต่างประเทศก็เลยใช้วิธีส่งพอร์ตไปสมัครเรียน โดยไม่ต้องสอบ ก็รอประมาณ 2 อาทิตย์ ก็ได้รับเอกสารว่าติดมหาวิทยาลัย ได้เรียน

 

ก็บอกคุณพ่อคุณแม่พี่สาว พี่สาวก็สนับสนุนป่านอยู่แล้ว ส่วนคุณพ่อคุณแม่ก็ซัพพอร์ตเรื่องค่าเล่าเรียนเต็มที่

 

 

บรรยากาศมหาวิทยาลัยศิลปะที่เนเธอร์แลนด์

ตอนไปถึงที่นั่นเป็นช่วงซัมเมอร์ 1 เดือนก่อนเปิดภาคเรียน ก็เพิ่งรู้ว่าที่นั่นเรียนเป็นภาษาดัตช์ สอบเป็นภาษาดัตช์ ทางโรงเรียนไม่ได้แจ้ง ก็เลยต้องไปเรียนภาษาดัตช์ก่อนเปิดเทอม ก็รู้สึกตัวแล้วว่ายาก

 

คอร์สเรียนจริงๆ ต้องใช้เวลา 4 ปี แต่ป่านไปเรียนได้แค่ 1 ปี ตอนเรียนที่นั่นก็มีอาจารย์พูดภาษาอังกฤษด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นอาจารย์อายุมากหน่อยก็จะพูดแต่ภาษาดัตช์

 

จริงๆ คนดัตช์พูดภาษาอังกฤษเก่งนะ คนส่วนมากเห็นเราเป็นคนเอเชียก็พูดอังกฤษใส่เลย แต่อาจารย์ดูไม่ค่อยชอบป่าน ไม่รู้เพราะอะไร พูดแต่ดัตช์ ทั้งที่บอกว่ารับเด็กอินเตอร์ สุดท้ายคลาสก็ต้องยอมให้เราพรีเซนต์เป็นภาษาอังกฤษ

 

มีเพื่อนต่างชาติมาเรียนที่นี่เหมือนกัน หลายคนก็ไม่รอด ต้องออกไปกลางคัน สรุปว่ามีเพื่อนคนบราซิลรอดคนเดียว

 

 

การเรียนแบบคนดัตช์

การเรียนแฟชั่นที่นี่จะเรียนเป็นเทคนิค ไม่สอนเป็นแพตเทิร์นเหมือนที่ประเทศไทย ค่อนข้างฟรีสไตล์ เน้นปฏิบัติมากๆ ตั้งแต่ปี 1 ก็มีเรียนทฤษฎีเหมือนกัน แค่วิชาประวัติศาสตร์แฟชั่นเท่านั้น

 

แต่ป่านไม่ชอบเวลาสอบ เพราะไม่มีข้อสอบภาษาอังกฤษให้ มีแต่ภาษาดัตช์

 

ส่วนที่ชอบคือเพื่อนๆ เพราะป่านเจอข้อสอบ เจอการสอนเป็นภาษาดัตช์ทำให้ความมั่นใจหดหาย ก็คิดว่าคงต่อไปถึงปี 4 ไม่ไหว ก็ต้องสู้ปีนี้ให้ได้อะไรกลับมามากที่สุด เพื่อนในแก๊งกับแฟนชาวดัตช์ของป่านก็ฟังเลกเชอร์มาแล้วแปลให้เป็นภาษาอังกฤษ เวลาสอบก็ต้องพกดิกชันนารีภาษาอังกฤษ-ดัตช์เข้าห้องสอบไป

 

การเป็นอยู่ในเมืองอาร์เนม

ต่างกับกรุงเทพฯ มาก กรุงเทพฯ จะเป็นเมืองไนต์ไลฟ์หน่อยๆ แต่ที่นั่น 6 โมงเย็นทุกอย่างปิดหมด จะมีวันเดียวที่ร้านค้าเปิดถึงสามทุ่มคือวันจันทร์ ป่านเลิกเรียน 4 โมงก็ต้องบึ่งไปตลาดเพื่อซื้อของกินมาตุนไว้

 

อาร์เนมเป็นเมืองเล็กๆ ที่ความปลอดภัยดีมาก ที่พักของป่านเดินแค่ 3 นาทีก็ถึงมหาวิทยาลัย

 

อยู่ที่นั่นก็มีปาร์ตี้เหมือนกัน แต่เป็นปาร์ตี้ตามบ้านเพื่อน ไม่ใช่ตามร้าน มีช่วงที่กำลังจะเรียนจบก็เวียนไปปาร์ตี้บ้านเพื่อนหลายคนจนถึงเช้าเลย เพื่อนก็ขี่จักรยานส่งเราไปต่อบ้านเพื่อนอีกคนหนึ่ง

 

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เข้าไปในปาร์ตี้ที่มีคนพกยาเสพติดมาด้วย ปรากฏว่าแฟนรู้ก็เลยลากป่านกลับบ้านทันทีเลย

 

แฟนชาวดัตช์ที่เมืองดัตช์

ป่านเจอกับแฟนคนนี้เพราะอาศัยอยู่บ้านแฝดติดกัน เป็นวันที่ไปปาร์ตี้กลับมาแล้วลืมกุญแจ เข้าบ้านไม่ได้ ก็โทรหาคนดูแลบ้านก็ปรากฏว่าเขาอยู่โปแลนด์ เขาเลยโทรให้แฟนป่านที่ตอนนั้นยังไม่เป็นแฟนกัน เดินไปเปิดประตูให้ ก็เลยรู้จักกัน

 

พอเป็นแฟนกัน แฟนก็ช่วยดูแลเรื่องในบ้าน เพราะป่านมีงานต้องส่งอาจารย์เยอะมาก บางทีต้องทำงานที่มหาวิทยาลัยถึง 3 ทุ่ม แฟนก็ดูแลบ้านให้ ทำกับข้าวให้

 

แฟนเรียนวารสารศาสตร์ในอีกมหาวิทยาลัยหนึ่ง ก็มีไปทำธีสิสเรื่องคอร์รัปชันที่กานา ช่วงนั้นก็ต้องดูแลตัวเองมากกว่าเดิม

 

ช่วงที่คิดว่าจะเลิกเรียน กลับบ้าน ก็ปรึกษาที่บ้าน ปรึกษาแฟน ตอนแรกคิดว่าจะเปลี่ยนไปเรียนต่อที่แอนต์เวิร์ปเบลเยียม พอไปสอบก็ไม่ติด ก็ไม่ได้เรียนต่อ

 

 

ถ้าย้อนกลับไปได้จะบอกตัวเองว่าอะไร

ป่านจะบอกว่าเลิกเรียนกลับมาน่ะดีแล้ว เพราะค่าเรียนมันแพง จริงๆ ที่ดัตช์มีทุนการศึกษานะ แต่ส่วนมากเป็นสายวิทยาศาสตร์ สายอาร์ตไม่มีเลย ป่านเป็นนักเรียนต่างชาติมาก็จ่ายค่าเทอมแพงกว่า 8,500 ยูโร ส่วนเพื่อนคนดัตช์จ่ายแค่ 1,000 ยูโร นี่ยังไม่รวมค่ากินอยู่เลย

 

สรุปว่าทั้งปีที่ป่านไป ทั้งเรียน ทั้งกินอยู่ ทั้งไปเที่ยวแบ็กแพ็ก หมดไปล้านสอง

 

จะไปทำงานนอกเวลาเรียนก็ไม่คุ้ม เพราะในสัญญามีบอกว่านักศึกษาทำงานได้แค่ 10 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ เท่ากับได้ประมาณ 100 ยูโรต่อสัปดาห์ ซึ่งค่ารถไฟจากอาร์เนมไปอัมสเตอร์ดัมเพื่อทำงานก็ 70 ยูโรแล้ว ฉะนั้นถ้าทำงานแล้วได้กำไรแค่นี้ สู้เอาเวลาไปทำการบ้านดีกว่า เพราะการบ้านเยอะมาก

 

ช่วงที่ทำธีสิสจบและแฟชั่นโชว์ช่วงท้ายเทอม ป่านนอนแค่อาทิตย์ละ 27 ชั่วโมง ตกวันละ 3 ชั่วโมงกว่า นอนตี 5 ตื่น 8 โมง

 

มีเพื่อนชาวดัตช์คนหนึ่งทำงานคราฟต์สวยมาก แต่ก็ quit ตั้งแต่เทอมแรก เพราะซึมเศร้ารุนแรง อาจารย์เดินมาตรวจงานก็ร้องไห้ เพราะกลัวอาจารย์ว่าว่างานไม่สวย ตอนนี้ก็ไปเรียนต่อทางรัฐศาสตร์ ด้วยความที่รับแรงกดดันจากตัวเองไม่ไหว มันกดดันด้วยตัวงาน ด้วยอาจารย์ หลายอย่าง

 

เรื่องความรัก

หลังจากกลับมาก็ไม่ได้สานต่อ เลิกกันหลังจากนั้น 6 เดือน

 

ตอนจากกันเขาก็ยื่นจดหมายให้ฉบับหนึ่งที่สนามบิน บอกว่าขึ้นเครื่องค่อยเปิดอ่าน ป่านก็เปิดอ่านที่สนามบิน ก็ร้องไห้กลางสนามบิน ขึ้นเครื่องก็ร้องไห้จนแอร์โฮสเตสต้องหยิบทิชชู่มาให้ ก็รู้สึกแย่ที่ต้องจากกัน

 

แต่หลังจากนั้นทางแฟนก็เริ่มมีคนอื่น เริ่มอยากเปิดใจรับคนใหม่ ก็ Skype มาเลิก ก็เฮิร์ตเหมือนกัน

 

ก็ได้เอาเรื่องความรักของตัวเองไปใช้ในชิ้นงานเหมือนกัน ในคอลเล็กชันที่ 3 ชื่อว่า Have Faith in Me Romeo คอนเซปต์คือป่านแทนความรักด้วยเรื่องราวของโรมิโอกับจูเลียต แต่จูเลียตของป่านอยู่ที่ปารีส ที่เลือกที่นี่เพราะเป็นที่สุดท้ายที่ป่านไปเที่ยวกับแฟน เป็นที่ที่ดีมาก เลยรู้สึกว่าอยากเอาความรักตอนนั้นมาใส่ไว้ตรงนี้ จูเลียตของป่านไม่ใช่ผู้หญิงหวาน อ่อนแอ แต่เป็นผู้หญิงมั่นใจในตัวเอง เหมือนมาการอง ที่ข้างในนิ่มหวาน แต่ข้างนอกแข็งเป็นเกราะ

 

ฝากถึงคนที่อยากไปเรียนเป็นดีไซเนอร์ที่เนเธอร์แลนด์

ต้องลองไปเสิร์ชดูในเว็บสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ในนั้นจะมีคำแนะนำให้ ว่าคอร์สเรียนเป็นอย่างไร ต้องเรียนเป็นภาษาดัตช์ไหม หรือถ้ามีคำถามเรื่องการเรียนต่อด้านแฟชั่นก็ติดต่อที่ป่านโดยตรงก็ได้ที่เพจ MUETTA

 

 


 

Credits

The Host ธัชนนท์ จารุพัชนี

The Guest นวพรรณ เกตุมณี

Show Creator ภูมิชาย บุญสินสุข

Episode Producers ภูมิชาย บุญสินสุข

นทธัญ แสงไชย

อธิษฐาน กาญจนพงศ์

ปวริศา ตั้งตุลานนท์

Episode Editor นทธัญ แสงไชย

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์​ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director กริณ ลีราภิรมย์

Graphic Designer เทียนจรัส วงศ์พิเศษกุล

Proofreader พรนภัส ชำนาญค้า
Music Westonemusic.com

  • LOADING...

READ MORE

MOST POPULAR



Close Advertising