วันนี้ (19 กุมภาพันธ์) ภารกิจวันที่สามในการลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดนครพนม สกลนคร และอุดรธานี ระหว่างวันที่ 17-19 กุมภาพันธ์ 2567 ของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมคณะ โดยวันนี้นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานี
ตรวจเยี่ยมค่ายประจักษ์ศิลปาคม ดูความเป็นอยู่กำลังพล
นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วย สุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางไปยังค่ายทหารประจักษ์ศิลปาคม เพื่อติดตามตรวจเยี่ยมและดูความเป็นอยู่ของกำลังพล โดยได้สอบถามถึงอาคารที่อยู่อาศัยของกำลังพลที่ส่วนใหญ่เป็นอาคารไม้ บ้านพักหลายจุดก่อสร้างตั้งแต่ปี 2495 มีสภาพเก่าทรุดโทรม อาจต้องมีการก่อสร้างอาคารใหม่สำหรับทหารชั้นประทวน แนะนำว่า หากกองทัพมีพื้นที่เพียงพอ ควรก่อสร้างเป็นลักษณะแฟลตชั้นเดียวหรือ 2 ชั้น มากกว่าอาคารตึกสูง เพราะค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างถูกกว่า
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตั้งใจที่จะช่วยปรับปรุงสวัสดิการและคุณภาพชีวิตของทหารโดยรวมให้ดีขึ้น เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ รวมทั้งดูแลชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นอย่างเท่าเทียม การมาดูครั้งนี้รัฐบาลตั้งใจจะทดลองปรับปรุงที่พักอาศัยใหม่ให้สอดคล้องกับชีวิตความเป็นอยู่ในปัจจุบันมากขึ้น โดยจะทดลองปรับปรุงในพื้นที่ค่ายทหารต่างจังหวัดที่มีพื้นที่เยอะก่อน
แก้ปัญหาบุคลากรโรงพยาบาลทหารขาดแคลน
จากนั้นนายกรัฐมนตรีเดินทางต่อไปที่โรงพยาบาลประจักษ์ศิลปาคม เพื่อติดตามการบริหารจัดการและการให้บริการรักษาทั้งกำลังพลและประชาชนทั่วไป รวมทั้งการพัฒนาโรงพยาบาลทหาร ให้สามารถรองรับผู้ป่วยและนโยบายบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า โรงพยาบาลทหารที่นี่ดูแลประชาชนที่เป็นผู้ป่วยนอกคิดเป็นสัดส่วน 70% ต่อปี อัตราการรักษาคือ แพทย์ 1 คนต่อคนไข้ 14,000 คนต่อปี และยังมีรถโมบายล์ลงพื้นที่ตรวจรักษาประชาชนในจังหวัดอุดรธานี จังหวัดใกล้เคียง และตามแนวชายแดนหนองคาย แต่ยังประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากร ขาดอุปกรณ์ ขาดระบบไอที และรถพยาบาลเคลื่อนที่ไม่เพียงพอ
ขณะเดียวกันบุคลากรทางการแพทย์สังกัดกระทรวงกลาโหมก็ลาออกจำนวนมาก เนื่องจากไม่มีโอกาสเติบโต ไม่มีโอกาสบรรจุ และอัตราเงินเดือนน้อยกว่าเงินสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งทั้งหมดนี้ตนตั้งใจจะช่วยแก้ปัญหาให้โดยเร็วที่สุด และพัฒนาเป็นโมเดลโรงพยาบาลทหารนำร่องในที่อื่นๆ ต่อไป
มอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุหนองวัวซอโมเดล
ต่อมานายกรัฐมนตรีเดินทางไปยังที่ว่าการอำเภอหนองวัวซอ เพื่อมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุให้กับผู้เช่าที่ราชพัสดุตามโครงการหนองวัวซอโมเดล โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และผู้บัญชาการทหารบก ร่วมด้วย
เศรษฐากล่าวเปิดงานช่วงหนึ่งว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาแจกสิทธิทำกินในวันนี้ เรื่องสิทธิทำกินและพื้นที่ทำกินของพี่น้องประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งทางกองทัพมีพื้นที่อยู่จำนวนมาก แต่มีการพูดจาในเชิงลบว่าเอาพื้นที่ออกมา แย่งพี่น้องประชาชนทำมาหากิน ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้มีการพูดคุยและศึกษาข้อมูลในเชิงลึก เพราะในด้านความมั่นคง กองทัพเองก็มีความจำเป็นที่จะใช้พื้นที่ในการดูแลให้เกิดความสมดุล รักษาความปลอดภัย และรักษาเอกราชให้กับประเทศไทย แต่ก็ต้องไม่เคยลืมว่าพี่น้องประชาชนต้องการพื้นที่
รัฐบาลทำงานไว 4-5 เดือนมอบที่ดิน
“รัฐบาลนี้ตั้งแต่วันแรกที่ได้เข้ามาเป็นนายกฯ ได้มีการพบปะกับแม่ทัพทุกท่าน รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งกำกับกรมธนารักษ์ อยู่ในฐานะเจ้าของที่ดินตรงนี้ มีการพูดคุยกันว่า จะให้ที่ดินทำกินกับพี่น้องประชาชน หากทางกองทัพมีพื้นที่เหลือและไม่ได้ใช้ในแง่ของการดูแลด้านความมั่นคง เรื่องนี้เราให้ความสำคัญอย่างยิ่ง และภายในเวลาเพียง 4-5 เดือน เรามองย้อนกลับไปว่าทางกองทัพเองกับกระทรวงการคลังทำกันได้รวดเร็วแค่ไหน” เศรษฐากล่าว
เศรษฐากล่าวต่ออีกว่า พื้นที่กว่า 9,000 ไร่ มีคนที่จะได้รับประโยชน์ 500 ครอบครัว ทั้งเป็นที่อยู่อาศัยและทำมาหากินภายใน 4-5 เดือนที่ผ่านมานี้ เรามายืนตรงนี้จะไม่หยุดยั้งในการที่จะทำงานต่อไป และก็ได้เห็นอยู่แล้วว่าต่อไปที่จังหวัดนครพนม สมุทรปราการ กาญจนบุรี และทุกๆ จังหวัดที่มีกองทัพ ไม่ใช่กองทัพบกอย่างเดียว ยังมีกองทัพเรือ กองทัพอากาศ ก็มีส่วนร่วมในการที่จะแบ่งปันพื้นที่มาให้พี่น้องประชาชน
สิทธิที่ดินทำกิน กู้ทำประโยชน์ได้
เศรษฐากล่าวว่า นอกจากนี้ทางกองทัพตระหนักดีถึงปัญหาระบบชลประทาน หากไม่มีการบริหารจัดการให้ดีก็จะมีน้ำท่วม น้ำแล้ง ไม่ใช่แค่ให้พื้นที่อย่างเดียว แต่เราดูแลให้ครบวงจร เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีสิทธิ์ทำมาหากินได้อย่างเต็มที่ และยืนยันว่า สิทธิเหล่านี้สามารถนำไปกู้ใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งตรงนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญในการหาแหล่งเงินทุนมาเป็นต้นทุนในอนาคต และจะยังคงมีการแจกต่ออีก ต้องขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่อยู่ในที่นี้และได้รับการแจกสิทธิทำกิน ต้องขอบคุณทุกภาคส่วนอีกครั้งที่เข้าใจถึงปัญหาที่พี่น้องประชาชนมีอยู่ และดำเนินการขับเคลื่อนคู่ไปด้วยกัน
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้มอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุให้กับตัวแทนผู้เช่าที่ราชพัสดุ พร้อมถ่ายรูปร่วมกัน ก่อนเยี่ยมชมนิทรรศการ
ติดตามแผนพัฒนาของจังหวัดอุดรธานี
ต่อมาในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีเดินทางไปยังโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากุมภวาปี เพื่อร่วมประชุมหารือแผนพัฒนาของจังหวัดอุดรธานี เช่น แนวทางการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทะเลบัวแดง และการกำจัดวัชพืชที่มีการขอสนับสนุนงบกลางเพิ่มเติม คาดว่าในระยะเวลา 5 เดือนจะเก็บวัชพืชได้ทั้งหมด ความคืบหน้าการดำเนินงานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานีในปี 2569 แนวทางการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด รวมถึงมีแผนที่จะลาดยางถนนลูกรัง ซ่อมแซมถนนลาดยางเดิมที่ชำรุด และติดตั้งไฟส่องสว่างบนถนนที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว
ฟังเสียงค้านเหมืองโพแทช
จากนั้นนายกรัฐมนตรีเดินทางไปตรวจติดตามสภาพพื้นที่ก่อสร้างเหมืองใต้ดินและจุดเจาะอุโมงค์เหมืองแร่โพแทช ตำบลหนองไผ่ ติดตามสภาพพื้นที่ก่อสร้างเหมืองใต้ดินและจุดเจาะอุโมงค์ โดยได้สอบถามถึงแหล่งเงินทุนที่จะนำมาบริหารจัดการในโครงการฯ รวมถึงความปลอดภัยของโครงการฯ ว่าเมื่อเริ่มดำเนินการจะส่งผลกระทบหรือผลเสียอะไรต่อพื้นที่ชุมชนหรือไม่ ทั้งนี้ นายกฯ กำชับให้ตัวโครงการฯ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามดูแลการดำเนินการต่างๆ ให้เป็นไปตามขั้นตอนที่โครงการได้ชี้แจงไว้
นายกรัฐมนตรียังได้พบปะกลุ่มประชาชนผู้คัดค้านเหมืองโพแทช พร้อมรับฟังถึงความกังวลใจจากการก่อสร้างเหมืองโพแทช รวมถึงข้อเสนอแนะให้กลับไปทบทวนตัวโครงการฯ อีกครั้ง โดยให้ศึกษาจากเหมืองด่านขุนทดก่อน
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังได้รับหนังสือพร้อมกล่าวว่า รับเรื่องไว้พิจารณา ขอกลับไปพูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน ยืนยันว่ารัฐบาลรับฟังเสียงของประชาชนทุกคน จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้แวะถ่ายภาพร่วมกับกลุ่มลูกเสือ ณ ร้านสามข้าวแฟคตอรี่ ก่อนเดินทางต่อไปยังท่าอากาศยานทหารกองบิน 23 อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- “จะคิดอะไรก็คิดกันไป พรุ่งนี้ 7 โมงเช้าผมก็ตื่นไปทำงาน” นายก เศรษฐา เมิน สว. บอกเป็นดาวไร้แสง
- นายก เศรษฐา บอก GDP ทั้งปีโต 1.9% เหตุไม่มีเม็ดเงินในระบบ