วันนี้ (23 พฤษภาคม) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล เช่น ศิริกัญญา ตันสกุล, วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร และ สุพันธุ์ มงคลสุธี ตัวแทนจากพรรคไทยสร้างไทย พบสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) นำโดย เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. เพื่อรับฟังข้อเสนอนโยบายจากภาคอุตสาหกรรม พร้อมทั้งรับฟังปัญหา อุปสรรค และข้อกังวลของตัวแทนภาคอุตสาหกรรม
บรรยากาศการพูดคุยเป็นไปด้วยดี ข้อเสนอแนะส่วนใหญ่ตรงกับนโยบายของพรรคก้าวไกลที่จะไปบรรจุในนโยบายรัฐบาล เช่น เรื่องราคาพลังงาน การเพิ่มผลิตภาพแรงงาน ภาคเอกชนเชื่อมั่นว่าภายใต้การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนโดยยึดประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นที่ตั้ง ดำเนินการด้วยความโปร่งใสรอบคอบ จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและนำพาเศรษฐกิจประเทศไปสู่อนาคตได้
พิธากล่าวว่า ตนมีโอกาสทำงานร่วมกับสภาอุตสาหกรรมครั้งแรกตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ในวันนั้นประเทศไทยคุยกันเรื่องการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ผ่านยุทธศาสตร์การรวมกลุ่มทางอุตสาหกรรมคลัสเตอร์พลัส แต่เวลาผ่านไปเห็นได้ว่าหลายเรื่องที่คุยกันค้างไว้ไม่ได้มีการทำต่อ พรรคก้าวไกลจึงต้องการเข้ามาผลักดันอุตสาหกรรมให้ตอบโจทย์ใหม่ๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น Blockchain มาใช้ การสร้างยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะการเปลี่ยนจาก Made in Thailand เป็น Made with Thailand ที่ประเทศไทยไม่ใช่แค่รับจ้างผลิต แต่ต้องทำให้อุตสาหกรรมไทยเข้าไปอยู่ใน Value Chain ของอุตสาหกรรมโลก
อุตสาหกรรมไทยในอนาคตจำเป็นต้องมี 3F หนึ่งคือ Firm Foundation หรือพื้นฐานที่แข็งแรง ไม่ว่าจะเป็นแรงงานที่มีทักษะสูง เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานที่ดี สองคือ Fair หรือความเป็นธรรม เพราะ 40 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมไทยเติบโตจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ สิ่งที่ตามมาคือความเหลื่อมล้ำ ในการพาประเทศไทยไปสู่ประเทศรายได้สูงจำเป็นที่จะต้องคิดเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำด้วย และสุดท้ายคือ Fast Growing Industry ที่ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการผลักดันการวิจัยและพัฒนา (R&D) และส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ประเทศไทยถึงแม้ไม่มีทรัพยากร เช่น โคบอลต์ นิกเกิล ที่จำเป็นในการผลิตแบตเตอรี่แบบต่างประเทศ แต่ประเทศไทยจำเป็นต้องหาช่องว่างในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ยังมีคู่แข่งน้อย เช่น การผลิตชิป ซิลิคอนคาร์ไบด์ นี่เป็นสิ่งที่ต้องร่วมมือกันทำงานทั้งภาครัฐและเอกชน
“ประเทศไทยในอนาคตต้องเติบโตด้วยการเพิ่มผลิตภาพแรงงานและเพิ่มการใช้เทคโนโลยีให้ผลิตสิ่งที่มีมูลค่าสูง ไม่ใช่เติบโตด้วยการกดค่าแรงให้ต่ำและกดความสามารถในการแข่งขันให้ต่ำ” พิธากล่าว
ส่วนหนึ่งที่จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันได้ คือการเร่งเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป ให้สำเร็จ ซึ่งพิธากล่าวว่า การทำ MOU จัดตั้งรัฐบาลที่เกิดขึ้นคือความสำเร็จของประเทศไทยในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างสันติ ภายหลังจากที่ประเทศกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยแล้ว เชื่อว่าการเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป จะเสร็จสิ้นได้โดยเร็ว แต่ในขณะเดียวกันเมื่อดูอัตราการใช้ประโยชน์จากเขตการค้าเสรี (FTA Utilization) ก็จะเห็นว่าการใช้ประโยชน์จาก FTA ที่มีอยู่ยังใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่ ภายใต้รัฐบาลใหม่การใช้ประโยชน์จาก FTA นี้จะต้องเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในการทำงานต่อไป
ทั้งนี้ ในการพูดคุย สภาอุตสาหกรรมฯ ได้เสนอนโยบายหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต Next-GEN Industries, นโยบายด้านพลังงาน, นโยบายด้านแรงงาน, นโยบายด้าน SME ส่วนใหญ่เห็นตรงกันกับนโยบายของพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะนโยบายด้านราคาพลังงานที่มีความเป็นธรรม ซึ่งศิริกัญญากล่าวว่ามีสัญญาณที่ดีจากคณะกรรมการกำกับดูแลพลังงานที่พร้อมเปลี่ยนสูตรการจัดสรรก๊าซธรรมชาติ สามารถทำได้ทันทีที่มีรัฐบาลใหม่ จะเห็นผลในบิลค่าไฟที่ลดลงภายในเดือนมกราคม 2567
ส่วนความกังวลในการปรับขึ้นค่าแรงนั้น พิธาให้คำมั่นว่าการเพิ่มผลิตภาพแรงงานต้องทำไปพร้อมกับการดูแลปากท้องของพี่น้องแรงงาน ถ้าท้องไม่อิ่มก็ไม่สามารถคิดเรื่องการเพิ่มทักษะได้ แต่นโยบายพรรคก้าวไกลเป็นการขึ้นค่าแรงพร้อมกับมาตรการช่วยเหลือภาคเอกชน การเสริมทักษะแรงงาน และมีระบบในการปรับขึ้นค่าแรงทุกปีตามสภาพเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ เพื่อให้ผลิตภาพและรายได้ของประชาชนเป็นสิ่งที่เติบโตไปด้วยกัน
สุดท้ายพิธากล่าวกับสมาชิกสภาอุตสาหกรรมฯ ว่า ความท้าทายของโลกยุคปัจจุบันคือภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำของโลก (Global Minimum Tax) ที่จะทำให้การดึงดูดการลงทุนด้วยการใช้มาตรการทางภาษีแบบเดิมเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป การดึงดูดการลงทุนในอนาคตไม่ใช่แค่เป็นเรื่องการจูงใจทางภาษี แต่เป็นเรื่องความง่ายในการทำธุรกิจ การกิโยตินกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น การปราบคอร์รัปชัน การที่ไทยมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเป็นอันดับ 5-6 ของอาเซียน แย่กว่าฟิลิปปินส์ แย่กว่าอินโดนีเซีย เป็นเรื่องที่มีความท้าทายพอสมควร ตอนนี้เรื่องของเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข และความท้าทายทางสังคมอื่นๆ เป็นเรื่องเดียวกัน
ส่วนในขั้นต่อไปที่ตนและพรรคก้าวไกลอยากทำงานต่อกับสภาอุตสาหกรรมฯ คือการตั้งคณะทำงานรายคลัสเตอร์ โดยเอาโจทย์ของแต่ละอุตสาหกรรมที่มีความแตกต่างกันมาแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎหมาย เทคโนโลยี เงินทุน แรงงาน เพื่อทำงานร่วมกันต่อไปในอนาคต