วันนี้ (17 เมษายน) นิรันดร์ ประวิทย์ธนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, ผู้ก่อตั้งเอวา แอดไวเซอรี่ และผู้เชี่ยวชาญสินทรัพย์ดิจิทัล การเงิน และการลงทุน กล่าวถึงนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ในดิจิทัลวอลเล็ตของพรรคเพื่อไทย ที่จะให้คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปทุกคน โดยให้ใช้ภายใน 6 เดือน จับจ่ายใช้สอยในชุมชนรัศมี 4 กิโลเมตรนับจากที่อยู่ในบัตรประชาชน และเป็นการแจกให้ครั้งเดียว
นิรันดร์กล่าวว่า นโยบายนี้จะเป็นนโยบายที่มีประโยชน์มากถ้าสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในระบบรากหญ้าได้จริง แต่ก็ยังน่าเป็นห่วงว่าเงินที่คาดว่าจะใช้ประมาณ 5 แสนล้านบาทนั้นจะทำให้เงินหมุนเวียนอยู่ในระบบรากหญ้าได้แค่ไหน เพราะที่ผ่านมาจะเห็นว่าสุดท้ายแล้วเงินก็ไหลกลับสู่บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ ดังนั้นนโยบายนี้จะมีประโยชน์ถ้าสามารถควบคุมให้เงินไหลเวียนอยู่ในระบบรากหญ้าได้ อย่างไรก็ตาม มีการระบุเรื่องของรัศมีภายใน 4 กิโลเมตรด้วย ซึ่งตรงนี้แปลว่าอาจจะมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายในชุมชนมากกว่าการปล่อยให้ไหลเข้าสู่นายทุนอื่นๆ
นิรันดร์กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องเงินเฟ้อที่เป็นห่วงกันนั้น เป็นไปได้ถ้าหากร้านค้าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า ดังนั้นรัฐต้องควบคุมราคาสินค้าให้เข้มงวด ไม่ให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคา ขณะที่การใช้บล็อกเชนนั้นจะใช้หรือไม่ก็ได้ เพราะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งข้อดีคือทำให้ควบคุมการทำธุรกรรมต่างๆ ได้ง่ายขึ้น และปลอดภัยสูง แต่จะต้องพัฒนาและควบคุมระบบอย่างมีประสิทธิภาพ คนที่จะมาออกแบบระบบนั้นจะต้องเข้าใจด้วยว่าจะสามารถเห็นตัวเลขธุรกรรมได้ทั้งหมด ซึ่งคนไทยจะกังวลในเรื่องความเป็นส่วนตัวในการใช้จ่าย
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวแล้วไม่ได้มองว่านโยบายนี้จะเป็นเงินสกุลใหม่ขึ้นมา เพราะเท่าที่อ่านจากข้อมูลที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ นั้นจะเห็นว่า คล้ายๆ กับ อีวอลเล็ต หรือคล้ายๆ กับคูปองในฟู้ดคอร์ต ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่เงินสกุลใหม่ เพราะสุดท้ายหากใช้คูปองไม่หมดก็สามารถแลกกลับมาเป็นเงินบาทได้ ไม่ใช่เงินสกุลใหม่หรือส่งผลกระทบต่อค่าเงินอะไร
“แต่ควรจะออกแบบให้ดีและรอบคอบ ใช้เท่าที่จำเป็น อย่าฝืนใช้ในสิ่งที่ไม่จำเป็น ซึ่งถ้าหากตรงนี้ทำให้เงินหมุนเวียนในระบบรากหญ้าได้มาก ก็จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้เยอะ แต่สำคัญที่สุดคือรัฐจะต้องควบคุมราคาสินค้าไม่ให้ร้านค้าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าด้วย” นิรันดร์กล่าวในที่สุด
