วันนี้ (1 เมษายน) ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกี่ยวกับนโยบายการต่างประเทศเชิงรุกและผลการเยือนต่างประเทศในรอบ 6 เดือน ชี้ประเทศไทยกลับมาอยู่ในจอเรดาร์โลกแล้ว
นโยบายต่างประเทศเชิงรุก
“วันนี้ผมอาจจะกล่าวได้นะครับว่าประเทศไทยขึ้นมาอยู่บนจอเรดาร์ของโลกแล้ว จากการที่ประเทศต่างๆ เปิดให้เราเยือนต่างประเทศในระดับสูง และมีการหารือในเรื่องของความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านการต่างประเทศในหลายๆ เรื่อง” ปานปรีย์กล่าว
ปานปรีย์กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับนโยบายต่างประเทศ ปัจจุบันโลกมีความไม่แน่นอนสูงและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิเศรษฐศาสตร์ ภูมิเทคโนโลยี โลกรวน และการแพร่ระบาดของโรคต่างๆ ขณะเดียวกันประเทศไทยได้ห่างหายไปจากจอเรดาร์โลก ไทยมีปฏิสัมพันธ์กับชาติต่างๆ น้อยลง ส่งผลให้บทบาทของไทยในเรื่องการต่างประเทศลดน้อยลงในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้การต่างประเทศก็มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ฉะนั้นไทยจะต้องมีการเจรจากับต่างประเทศและดำเนินนโยบายในเชิงรุกมากขึ้น
ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เยือนในระดับผู้นำอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ 14 ประเทศ และ 1 เขตเศรษฐกิจ ส่วนปานปรีย์และรัฐมนตรีช่วยฯ มีการเยือนในระดับรัฐมนตรีทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการทั้งสิ้น 11 ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เยอรมนี ในเวลาเดียวกัน ไทยก็ได้รับการเยือนจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหลายประเทศด้วยเช่นกัน เช่น กัมพูชา ออสเตรเลีย จีน และสหราชอาณาจักร จะเห็นได้ว่าไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่ไทยที่ออกไป แต่ต่างประเทศก็หลั่งไหลเข้ามาเยือนไทย แสดงให้เห็นว่าการทูตเชิงรุกทำให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับและมีสถานภาพที่ดีขึ้น
ปานปรีย์กล่าวว่า การเยือนแต่ละครั้งไม่ใช่แค่การไปจับมือ แต่ยังมีเนื้อหาสาระที่สำคัญ อย่างน้อยที่สุดคือการสานต่อความร่วมมือที่มีมาก่อน และขยายความร่วมมือในอนาคต นอกจากนี้ปีนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ไทยได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุม Summit for Democracy ที่เกาหลีใต้ สื่อความหมายว่าต่างประเทศมองว่าไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย
ขณะเดียวกันในเรื่องของการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก นายกฯ ได้พบบริษัทชั้นนำระดับโลกกว่า 60 บริษัท เช่น Amazon, Google, Microsoft และมีการชักชวนมาลงทุนในประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว นอกจากนี้ยังมีการลงนามความตกลง FTA ไทย-ศรีลังกา และเจรจาเพื่อเร่งรัดการตกลงข้อสรุปโดยเร็ว ตลอดจนการส่งเสริมให้ไทยเป็น Hub ในเรื่องต่างๆ ตามวิสัยทัศน์ Thailand Vision ทั้ง 8 ข้อ
การทูตที่ทันท่วงที
ประเด็นการทูตที่ทันท่วงทีในยามวิกฤตเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาก เพื่อให้ไทยมีความพร้อมในการรับมือวิกฤตต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น การเจรจาสถานการณ์อิสราเอลและกาซา ตอนที่ทราบข่าวคนไทยถูกจับก็มีความตกใจ แต่เมื่อตั้งหลักได้ อันดับหนึ่งคือการเร่งนำคนไทยในอิสราเอลที่ได้รับผลกระทบเดินทางกลับประเทศ ขณะเจ้าหน้าที่ของไทยมีการประสานงานกับกลุ่มที่สามารถเจรจากับฮามาสได้เพื่อนำตัวประกันชาวไทยกลับบ้าน ซึ่งช่วยเหลือตัวประกันออกมาได้ 23 คน ส่วนอีก 8 คนยังอยู่ในกาซา ซึ่ง 3 คนยังมีชีวิตอยู่ ส่วนอีก 5 คนยังไม่ทราบข้อมูลที่แน่ชัด
ห่วงใยวิกฤตการณ์เมียนมา
สำหรับสถานการณ์ในเมียนมา ไทยได้แสดงบทบาทท่าทีชัดเจนเพื่อให้เมียนมากลับมามีเสถียรภาพ เอกภาพ และสันติภาพ ไทยมีแนวคิดริเริ่มที่จะให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมแก่เมียนมา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนชาวเมียนมา โดยจะนำฉันทมติ 5 ข้อ (Five-Point Consensus) ของอาเซียนไปสู่การนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับประเด็นคนไทยที่เข้าไปทำงานในเมียนมาและอยากกลับประเทศเพราะสถานการณ์สู้รบที่รุนแรง ทางกระทรวงการต่างประเทศมีการประสานงานกับหลายฝ่ายเพื่อให้คนไทยสามารถเดินทางกลับได้อย่างปลอดภัย
พื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชายังรอข้อสรุป
เรื่องของพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา เพื่อยุติข้อพิพาทระหว่างดินแดน รัฐบาลกำลังจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลโดยเฉพาะ ซึ่งทิศทางการเจรจาจะเป็นภายใต้กรอบ MOU หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงประการใด ก็ต้องรอการตัดสินจากคณะกรรมการชุดนี้ต่อไป
ไทยเป็นกลางในความขัดแย้งโลก
สำหรับการวางตัวและจุดยืนของไทยท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงของโลก ปานปรีย์กล่าวว่า ไทยเป็นมิตร ไม่เลือกข้าง และดำเนินการโดยตั้งอยู่บนหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศและผลประโยชน์ของพี่น้องคนไทย
“การที่ เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงสหรัฐฯ และ หวังอี้ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศจีน เดินทางมาเจรจาในไทย สะท้อนให้เห็นว่าชาติมหาอำนาจให้ความไว้วางใจกับประเทศไทย และไทยก็มีนโยบายทางการทูตที่สมดุลท่ามกลางการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์โลก”
ปานปรีย์กล่าวสรุปว่า ผลลัพธ์ที่สำคัญจากการเยือนเหล่านี้คือไทยเป็นที่ยอมรับมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในเวทีระหว่างประเทศ และจะผลักดันการทูตเศรษฐกิจเชิงรุกเพื่อหารือในประเด็นที่เป็นรูปธรรมและสร้างความกินดีอยู่ดีให้ประชาชนต่อไป
นอกจากนี้การที่ไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกฝ่ายทำให้ไทยตอบสนองต่อสถานการณ์วิกฤตได้อย่างทันท่วงที ไทยจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนด้วยการเป็นมิตร และขยายความเป็นมิตรกับทุกประเทศเพื่อรักษาฐานะที่เป็นที่ยอมรับในเวทีระหว่างประเทศดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ผลการเยือนทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าจุดยืนของไทยนั้นถูกต้อง การทูตของไทยไม่เลือกข้างแต่มีจุดยืนเป็นของตนเอง โดยยึดมั่นในหลักการกฎหมายระหว่างประเทศและค่านิยมสากล โดยมีผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนคนไทยเป็นหลัก