×

เปิดประตูหัวใจ อารอน แรมส์เดล ก่อนได้ย้ายมาอาร์เซนอล พี่ชายที่เป็นเกย์ และคำสอนของครู

04.08.2023
  • LOADING...
Aaron Ramsdale

ในทีมอาร์เซนอลเต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์อนาคตไกลมากมาย แต่หนึ่งในคนสำคัญที่เตรียมจะกลับมาทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ของทีมในเกมเปิดม่านฤดูกาลใหม่ เอฟเอ คอมมูนิตี้ชิลด์ ซึ่งจะต้องพบกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือ อารอน แรมส์เดล

           

ผู้รักษาประตูที่ดูเผินๆ แล้วคิดถึง Ed Sheeran ขึ้นมาทุกที เป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์คนสำคัญของ The Gunners ที่ช่วยยกระดับทีมขึ้นมาได้มาก ในฐานะผู้รักษาประตูที่ใช้เท้าในการเล่นได้ดี เรียกว่าเป็นคน ‘นับหนึ่ง’ ที่สำคัญอย่างยิ่งในระบบการเล่นของอาร์เซนอลที่เป็นฟุตบอลสมัยใหม่

           

อีกทั้งยังมีช็อตปาฏิหาริย์ซูเปอร์เซฟให้เห็นบ่อยครั้ง ด้วยท่วงท่าลีลาที่เข้าขั้นมหัศจรรย์จนชวนให้คิดถึงตำนานรุ่นอดีตอย่าง เดวิด ซีแมน ขึ้นมา

           

เพียงแต่ที่ผ่านมาแรมส์เดลไม่ค่อยได้เป็นจุดสนใจมากนัก และเราแทบไม่ค่อยได้ยินเรื่องราวของเขาจากสื่อที่ไหนมาก่อน

           

เรื่องราว ‘Oh Shut Up, Ramsdale!’ ที่ถูกถ่ายทอดผ่าน The Players’ Tribune ด้วยตัวของเขาเองจึงถือเป็นของหายาก

           

เพราะประตูวัย 25 ปีไม่ได้พูดถึงแค่เรื่องราวของเกมฟุตบอลเพียงอย่างเดียว แต่ยังเล่าถึงเรื่องราวในชีวิตของเขาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจุดเริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอล การย้ายทีมมาอาร์เซนอล

           

รวมถึงเรื่องที่เขาไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน กับการที่จะลุกขึ้นสู้กับบรรดาพวกเหยียดเพศทั้งหลาย

           

เพราะพี่ชายที่รักของเขาเป็นเกย์

 

 

อาร์เซนอลสนใจผมเหรอ?

 

แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้นเรื่องแรกที่ อารอน แรมส์เดล อยากเล่า คือตอนที่เริ่มมีข่าวลือของเขากับอาร์เซนอล

           

ผ่านมาถึงตอนนี้เขายังจำได้ดีถึงวันที่เอเจนต์มาบอกว่าอาร์เซนอลกำลัง ‘สนใจ’

           

“สนใจ? หมายความว่าไงนะ” ผู้รักษาประตูที่อยู่กับบอร์นมัธถามเพื่อความชัดเจนอีกที “หมายความว่าพวกเขาจะเซ็นสัญญากับผมเหรอ?”

           

“อาจจะใช่ หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ แต่ว่ามีความสนใจอยู่”

           

ขณะนั้นแรมส์เดลอยู่ในแคมป์ทีมชาติอังกฤษที่อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมก่อนไปศึกฟุตบอลยูโร ด้วยความอยากรู้เขาเลยไปหา บูกาโย ซากา ที่กำลังดื่มกาแฟในตอนเช้า ทั้งๆ ที่ก็ยังไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรมากมาย

           

ถามดี ไม่ถามดี? ​คือสิ่งที่เขาคิดอยู่ในหัวพักใหญ่ แล้วสมมติถ้าอยากจะรู้เรื่องนี้ ว่าตกลงอาร์เซนอลอยากได้ตัวเขาจริงไหม เขาควรจะเอ่ยปากถามว่าอะไรดีนะ

           

“อรุณสวัสดิ์บูกาโย นายเป็นไงบ้าง? เอิ่ม นายพอรู้เรื่องที่ว่าทีมของนายสนใจในตัวฉันบ้างไหม?”

           

แรมส์เดลเองก็ยังคิดว่าคำถามนี้มันไม่เข้าท่ามาก เพียงแต่นี่เป็นสิ่งที่เขาเอ่ยปากถามจริงๆ!

           

ซากาให้คำตอบว่า “จริง” มิเกล อาร์เตตา โทรมาสอบถามถึงบุคลิก นิสัยใจคอของแรมส์เดลจริงๆ ว่าเป็นคนอย่างไร ซึ่งคำตอบที่ปีกดาวเด่นของอาร์เซนอลให้ไปก็คงเป็นเรื่องที่ดีแหละ เพราะไม่กี่วันหลังจากนั้นการย้ายทีมก็เกิดขึ้นจริงๆ และมันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาที่ดีเกินกว่าจะเป็นความจริง

           

ข้อความในโทรศัพท์ดังขึ้นไม่หยุด ทั้งจากเพื่อน ทั้งจากครอบครัวที่มาร่วมแสดงความยินดีด้วย

           

แต่ในอีกด้านของช่วงเวลาที่น่ายินดีนี้ มันก็สอนให้เขาได้รู้ว่าบนโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่คนรักเรา แต่มันมีคนที่พร้อมจะเกลียดเราและส่งต่อความเกลียดชังนั้นมาให้ทั้งๆ ที่ไม่เคยได้รู้จักกันในชีวิตจริง

           

“ผมเห็นการแจ้งเตือนมากกว่า 100 ครั้งจากเจ้านกน้อย (ที่ถูกฆาตกรรมกลายเป็น X ไปแล้ว…) แล้วก็จาก Instagram ทั้งๆ ที่ปกติผมจะได้การแจ้งเตือนแค่วันละ 15-20 ครั้ง (และในจำนวนนั้นจะเป็นของแม่ไปแล้ว 3 ครั้ง)”

           

ด้วยความสงสัยว่ามีอะไรนักหนา แรมส์เดลเลยลองเข้าไปดูแล้วก็ได้เห็นความน่ารังเกียจของ ‘เกรียนบอลชาวเน็ต’

           

“@AaronRamsdale98 ไม่ต้องมาที่นี่ you are shit

ตกชั้นมา 2 ครั้งเนี่ยนะ? การเซ็นสัญญาที่โคตรแย่

24 ล้านปอนด์??? หอยหลอดเอ๊ย

           

และอีกมากมาย แม้ว่าจะมีบางคนที่ส่งข้อความมาต้อนรับบ้าง แต่ดูเหมือนจะน้อยกว่าคนที่แสดงความรังเกียจเขาค่อนข้างมาก ไม่เว้นแม้แต่ในรายการทาง Sky Sports ที่ยามปกติแล้วเขาจะนั่งเกาะติดดูทุกแมตช์ (แรมส์เดลเรียกตัวเองว่าเป็น ‘แฟนบอลที่พอเตะบอลได้นิดหน่อย’)​ ก็เปิดมาเจอการวิเคราะห์ว่าเขาไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เหมาะกับอาร์เซนอล บลาๆๆ

           

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือต่อให้เป็นคนที่ปกติเป็นคนอารมณ์ดี สุขภาพจิตดีอย่างแรมส์เดลก็ยังรู้สึกแย่ทันที

           

ทั้งๆ ที่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะดีใจตัวลอยกับเรื่องนี้อยู่เลย

           

นี่คือเอฟเฟกต์ของ Hate Speech และ Cyberbullying ที่แรมส์เดลพยายามบอกทางอ้อม

 

 

ฮีโร่ในชีวิตจริงของแรมส์เดล

 

ในชีวิตคนเราเกือบทุกคนจะมี ‘ฮีโร่’ ในดวงใจของตัวเอง

 

คนคนนั้นอาจจะเป็นคนดังในสังคม เป็นดาราหนัง หรืออาจจะเป็นสุดยอดนักกีฬาเท่ๆ

 

แต่ไม่ใช่สำหรับแรมส์เดล เพราะฮีโร่ของเขาไม่ได้อยู่ไกลตัวเลย หากแต่เป็นคนที่อยู่ในบ้านเดียวกันนี่แหละ

 

ประตูอาร์เซนอลเล่าถึงเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของเขาว่า ถ้ามองเขาในมุมเด็กที่เลือกจะเล่นเป็นตำแหน่งผู้รักษาประตูตั้งแต่แรกนั้นน่าจะต้องมีความบ้าบอเล็กน้อย เพราะเด็กส่วนใหญ่ใครก็อยากจะเป็นกองหน้าเป็นสตาร์ทั้งนั้น แต่ในครอบครัวแรมส์เดลแล้ว เขาคือคนที่ปกติที่สุด

 

เอ็ดเวิร์ด พี่ชายคนโตของเขาเป็นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ส่วนพี่ชายคนกลางเป็นนักแสดงที่เล่นที่เวสต์เอนด์ คุณพ่อของเขาเป็นคุณครูที่ถูกต้องตามตำราสมัยก่อน ที่ไม่ชอบเลยเวลาเห็นผู้รักษาประตูใช้เท้าในการเล่น แถมยังพยายามบอกให้เขาไปเล่นกองเป็น ‘หมายเลข 9’ เถอะ

           

ส่วนคุณแม่นั้นเป็นผู้คุมอีกที แม้แต่พี่ชายคนโตที่คุมนักโทษ ถ้าวันไหนออกไปผับกับเพื่อน แม่จะรอจนกว่าพี่จะส่งข้อความมาบอกว่า “ถึงบ้านแล้วครับแม่ เดี๋ยวจะเข้านอนแล้ว รักแม่นะครับ” แล้วถึงจะยอมไปนอน

           

ตัวของแรมส์เดลเองอาจจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จที่สุดของบ้าน ทำความฝันให้กลายเป็นความจริงได้

           

แต่เวลาใครบอกเขาแบบนี้ แรมส์เดลก็อดขำไม่ได้ เพราะคนที่เป็น ‘ซูเปอร์สตาร์’ ตัวจริงของที่บ้านและเป็นคนที่เขาชื่นชมมากที่สุดคือพี่ชายคนกลางของเขาที่เป็นนักแสดงอย่างพี่โอลิเวอร์

           

โอลิเวอร์เป็นคนที่กล้าหาญที่สุดที่แรมส์เดลเคยเห็น และแสดงความกล้าหาญออกมาตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งตอนนั้นจะต้องไปเรียนต่อที่เบดฟอร์ดเพื่อจบมาจะได้เป็นครูเหมือนคุณพ่อ

           

แต่โอลิเวอร์ไม่คิดว่ามันจะเป็นทางเลือกที่ถูกต้องสำหรับเขา ดังนั้นถึงรู้ว่ามันจะไม่ถูกใจพ่อและแม่ แต่สุดท้ายเขาก็เปิดอกพูดกันแบบตรงๆ ว่าความฝันของเขาไม่ใช่การเป็นครูเหมือนพ่อ ความฝันของเขาคือการได้เป็นนักแสดง และเขาก็อยากไปเรียนที่โรงเรียนการแสดง

           

พี่คนกลางของบ้านเก็บข้าวของและเดินทางไปลอนดอนเพื่อไล่ตามความฝันของเขา

           

แต่เรื่องนี้ยังไม่ใช่ที่สุดของความกล้าหาญที่โอลิเวอร์แสดงออกมา สิ่งที่ทำให้แรมส์เดลคนเล็กชื่นชมพี่คนนี้อย่างที่สุดคือการที่เขากล้าจะเปิดเผยตัวตนว่าเขาเป็นเกย์ และใช้ชีวิตอย่างเปิดเผยมาโดยตลอดนับตั้งแต่เรียนจบไฮสคูล

           

เรื่องนี้แรมส์เดลไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน แต่เขาอยากบอกทุกคนว่าเขาภูมิใจในตัวพี่ชายของเขาอย่างมาก “นี่แหละพี่ผม”

           

เพราะเหตุนี้เองทำให้แรมส์เดลเริ่มรู้สึกว่าในโลกฟุตบอลที่ชายเป็นใหญ่ ทัศนคติและท่าทีต่อคนที่มีความแตกต่างในเรื่องเพศยังอยู่ในขั้นยอมรับไม่ได้ ไม่ใช่เพียงแค่เกิดขึ้นในโซเชียลมีเดียเท่านั้น แม้แต่ในห้องแต่งตัวทีมเองก็มีพวกที่เหยียดคนรักเพศเดียวกันเยอะมาก

           

ทั้งๆ ที่ฟุตบอลมันไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยกับรสนิยมทางเพศสักหน่อย

           

แรมส์เดลบ้าบอลแค่ไหน โอลิเวอร์ก็บ้าบอลไม่ได้น้อยไปกว่าเขาเลย เป็น Gooners ตัวยงเหมือนกัน

           

ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาตัดสินใจว่า ถึงที่ผ่านมาเขาจะเก็บเงียบไว้ไม่ปริปาก แต่ถ้าต่อไปนี้เขาได้ยินคำพูดอะไรที่เหยียดคนที่เหมือนพี่ชายของเขาอีก ถือว่าเรามีเรื่องกัน ซึ่งเขาพยายามจะสร้างการรับรู้ในเรื่องนี้มากขึ้น

           

แต่ปฏิกิริยาที่ได้รับจากสังคมคือ “หุบปากไปเลยแรมส์เดล สนใจแค่การเล่นฟุตบอลพอไอ้หนู”

           

สำหรับแรมส์เดล “นี่แหละคือเรื่องฟุตบอล ฟุตบอลเป็นของทุกคน ถ้าใครไม่เห็นด้วย คนคนนั้นนั่นแหละที่ควรหุบปากแล้วไปตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเอง”

 

 

Mr. Kerr กับเด็กที่ใส่เสื้อหลวมโพรก

 

ถึงตอนนี้จะดูรูปร่างสูงใหญ่หน่วยก้านดีและมีอนาคตที่สดใส แต่ลึกๆ แล้วแรมส์เดลเองก็เคยเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากตั้งแต่จุดเริ่มต้นเลยทีเดียว

           

ที่สำคัญเขาล้มมาแล้วไม่รู้กี่รอบ

           

บาดแผลแรกในชีวิตเกิดขึ้นเมื่อตอนอายุ 15 ปีเท่านั้น เมื่อโบลตัน วันเดอเรอร์ส สโมสรที่เขาอยู่ในเวลานั้นปล่อยตัวแรมส์เดลออกมา ด้วยเหตุผลที่ยากจะทำใจ

           

เขาตัวเล็กเกินไปจนใส่เสื้อได้ไม่พอดี เหมือนขโมยเสื้อพ่อมาใส่

           

ครั้นจะไปขอโอกาสจากสโมสรอื่นอีก 5-6 ทีมในละแวกเดียวกันก็ไม่มีใครคิดจะรับเขาเข้าทีมเลย ซึ่งสำหรับเด็กที่บ้าบอลสุดหัวใจคนหนึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายอย่างมาก

           

โชคดีที่แรมส์เดลมีคุณครูที่แสนดีมากๆ คนหนึ่ง เขาเรียกว่า ‘มิสเตอร์เคอร์’

           

ปกติแล้วที่โรงเรียนครูที่รู้ว่าลูกศิษย์คนนี้บ้าบอลจัดๆ ในทุกคลาสก็จะปล่อยให้แรมส์เดลโม้เรื่องฟุตบอลไปวันละสัก 10 นาที บางวันก็เรื่องเวสต์บรอมวิช อัลเบียน บางวันก็เชลซี พอให้แรมส์เดลเล่าเสร็จ ครูก็จะเอาสิ่งที่เขาเล่ามาผูกโยงเข้ากับวิชาที่กำลังเรียนอยู่ ทำให้การเรียนแต่ละวันเป็นไปอย่างสนุกสนาน

           

แต่วันหนึ่งที่เขาถูกปล่อยตัวจากทีม ชีวิตของแรมส์เดลเหมือนตกจากอวกาศ เพราะการเป็นนักฟุตบอลคือตัวตนของเขา การถูกปล่อยตัวทำลายความภาคภูมิใจที่มีในตัวเอง เขาไม่กล้าแม้แต่จะบอกกับเพื่อนด้วยซ้ำว่าเขาถูกปล่อยตัว

           

ในหัวของเขายอมรับว่า “ความฝันของเขามันจบลงแล้ว”

           

มิสเตอร์เคอร์สังเกตเห็นความผิดปกติ ว่าแล้วหลังเรียนจบคลาสในวันหนึ่งจึงเรียกมาสอบถาม แรมส์เดลจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังด้วยหัวใจสลาย

           

เมื่อฟังจบ มิสเตอร์เคอร์เลยให้คำสอนที่สำคัญที่สุดในชีวิตกับลูกศิษย์ที่รักของเขา

           

“ฟังนะ คิดว่าในประเทศนี้มีสโมสรฟุตบอลทั้งหมดกี่แห่ง? น่าจะมีสัก 80 กว่าทีมได้ใช่ไหม เดี๋ยวนายก็จะเจอสักทีมเอง อย่าเพิ่งยอมทิ้งความฝันของตัวเอง”

           

หลังจากนั้นราว 6 สัปดาห์ก็มีสายโทรศัพท์มาจากเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด อยากให้มาเข้าทีมอคาเดมีของพวกเขา

           

และจากวันนั้นไม่ว่าแรมส์เดลจะต้องเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากขนาดไหน เขาไม่เคยยอมละทิ้งความฝันของเขาอีกเลย

           

คำสอนของครูในวันนั้น เขายังจำได้ดีและจะจำไว้ตลอดไป

 

อ้างอิง:

FYI
  • แรมส์เดลเปิดเผยเรื่องราวอื่นๆ ในบทความด้วย รวมถึงเรื่องที่ภรรยาของเขาแท้งลูกในระหว่างการเดินทางกลับจากการพักผ่อนสั้นๆ หลังจบฟุตบอลโลก แต่ด้วยความห่วงใยจากครอบครัว เพื่อน รวมถึงผู้จัดการทีมอย่าง มิเกล อาร์เตตา ที่ดูแลอย่างดี ทำให้เขาผ่านมันมาได้
  • ข่าวดีคือตอนนี้แรมส์เดลกำลังมีโอกาสจะได้เป็นคุณพ่ออีกครั้ง
  • แรมส์เดลยืนยันว่าถึงจะรู้ว่าเกรียนฟุตบอลมีมากมายมหาศาล แต่เขาจะยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น เพราะอยากให้ฟุตบอลเป็นสนามที่ทุกคนลงมาเล่นสนุกด้วยกันได้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ไหน ผิวสีอะไร และมีรสนิยมทางเพศแบบไหนก็ตาม
  • ถ้าหากอาร์เซนอลได้แชมป์ เขาอยากให้โอลิเวอร์ พี่ชายของเขาลงมาฉลองแชมป์รวมกับเขาด้วย แต่ไม่ใช่เพื่อกวนพวกเกรียนกลับ เขาแค่อยากให้พี่ชายอยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดด้วยเพราะเขารักพี่ชายของเขา
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising