×

มารู้จักรองเท้าวิ่งที่ คิปโชเก แชมป์มาราธอนโอลิมปิกเกมส์ปีนี้เลือกใส่

08.08.2021
  • LOADING...
Eliud Kipchoge

HIGHLIGHTS

1 Min. Read
  • Nike ZoomX Vaporfly Next% 2 เป็นรองเท้าสำหรับสายเรซซิ่ง หรือสายลงแข่งขันเพื่อทำเวลาให้ได้ดีที่สุด ดังนั้นคุณลักษณะของมันจึงต่างจากรองเท้าที่ใส่ซ้อมวิ่งเป็นประจำ เพราะรองเท้าใส่ซ้อมมักเน้นความทนทาน (ใส่บ่อย ใส่ซ้อมวิ่งไม่รู้กี่ร้อยกิโลเมตร) มีซัพพอร์ตเยอะกว่า น้ำหนักจึงสูงว่ารองเท้าแข่ง ในขณะที่รองเท้าเรซซิ่งต้องเบา เพราะเมื่อวิ่งไปนานๆ รองเท้าที่หนักๆ จะกลายมาเป็นภาระให้เท้าของเราและมีอายุการใช้งานน้อยกว่า เพราะพื้นรองเท้าค่อนข้างบาง 

สำหรับนักวิ่งที่เฝ้าติดตามเกมการแข่งวิ่งในโอลิมปิกเกมส์ครั้งนี้ คงอดไม่ได้ที่จะคอยส่องรองเท้าวิ่งของนักกีฬาแต่ละคนว่าเขาหรือเธอนั้นเลือกหยิบรองเท้าคู่ไหนมาใช้ในวันแข่ง จากที่เห็นก็จะมีทั้งแบรนด์ Nike, Adidas, Asics หรือ Puma ซึ่งล้วนเป็นรองเท้าวิ่งประเภทเรซซิ่ง (Racing) หรือสายทำความเร็วแทบทั้งสิ้น แต่ที่เห็นจะโดดเด่นมากที่สุดคงหนีไม่พ้น Nike ZoomX Vaporfly Next% 2 ที่ล่าสุดนักวิ่งชาวเคนยา เอเลียด คิปโชเก เพิ่งใส่วิ่งเข้าเส้นชัย คว้าเหรียญทองในการแข่งโอลิมปิกเกมส์ที่โตเกียวมาครองเป็นสมัยที่ 2 อีกทั้งถ้าสังเกตให้ดี ในสนามแข่งมาราธอนเมื่อเช้าวันนี้ (8 สิงหาคม) นักกีฬาชายแทบทุกคนใส่รองเท้าวิ่งคู่นี้ลงสนาม รวมถึงนักวิ่งชาวญี่ปุ่นอย่าง ซึกุรุ โอซาโกะ ด้วยเช่นกัน ครั้งนี้เราเลยอยากพาคุณไปทำความรู้จักรองเท้าคู่นี้กันสักหน่อยว่า เพราะเหตุใด Nike ZoomX Vaporfly Next% 2 ถึงได้กลายมาเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของคนที่อยากวิ่งให้ได้เวลาเร็วที่สุด 

 

Nike ZoomX Vaporfly Next% 2 นับเป็น Super Shoes ที่ต่อยอดมาจาก Nike ZoomX Vaporfly 4% ซึ่งเป็นรองเท้าที่ช่วยให้คุณวิ่งเร็วขึ้น 4% หลังผลิตออกมาในปี 2017 ก่อนพัฒนามาสู่เจเนอเรชันใหม่อย่าง Nike ZoomX Vaporfly Next% ที่ออกมาในปี 2019 หลัง Nike ตัดสินใจเลิกใส่ตัวเลขหน้าเปอร์เซ็นต์ แต่เปลี่ยนมาใช้คำว่า Next% ไปเลย เพราะต้องการมองไปข้างหน้า โดยไม่จำเป็นต้องจำกัดว่าคุณจะเร็วขึ้นเท่าไร แต่ใส่แล้ววิ่งเร็วขึ้นแน่นอน 

 

จุดเด่นของคู่นี้อยู่ที่การใช้โฟม ZoomX ในส่วนพื้นชั้นกลางที่มอบความนุ่มด้วย เด้งด้วย ข้อดีคือไม่ยวบดูดแรง เสริมด้วยแผ่นคาร์บอนเต็มแผ่นอีกชั้น ที่เพิ่มแรงสะท้อนกลับเข้าไปอีก ทั้งสองประการนี้จึงช่วยสนับสนุนให้นักกีฬาวิ่งได้เร็วยิ่งขึ้น แต่รุ่นที่คิปโชเกใส่เป็นรุ่นสองของตระกูล Next% ที่ออกมาในปีนี้ มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่ง ที่เห็นชัดสุด ได้แก่ การเปลี่ยนวัสดุอัปเปอร์ หรือผ้าบริเวณหน้ารองเท้ามาเป็น Engineered Mesh ที่โปร่ง ระบายอากาศได้ดี ทั้งยังมีความแข็งแรง กระชับเท้านักวิ่ง และไม่สร้างแรงกดทับบริเวณนิ้ว ลิ้นรองเท้าบุฟองน้ำให้หนาขึ้น ลดการกดทับเช่นกัน นอกจากนี้เชือกรองเท้ายังเปลี่ยนมาใช้แบบหยัก ที่ผูกแล้วหลุดยากยิ่งขึ้น ในขณะที่ตัว ZoomX และแผ่นคาร์บอนยังให้มาเหมือนรุ่นแรก แต่สีที่ใส่เป็นสีใหม่อย่างโตเกียวคอลเล็กชัน ที่มีวางจำหน่ายแล้วที่ https://bit.ly/3iBsXSF ในราคา 7,500 บาท

 

อย่างที่บอกว่า Nike ZoomX Vaporfly Next% 2 เป็นรองเท้าสำหรับสายเรซซิ่ง หรือสายลงแข่งขันเพื่อทำเวลาให้ได้ดีที่สุด ดังนั้นคุณลักษณะของมันจึงต่างจากรองเท้าที่ใส่ซ้อมวิ่งเป็นประจำ เพราะรองเท้าใส่ซ้อมมักเน้นความทนทาน (ใส่บ่อย ใส่ซ้อมวิ่งไม่รู้กี่ร้อยกิโลเมตร) มีซัพพอร์ตเยอะกว่า น้ำหนักจึงสูงว่ารองเท้าแข่ง ในขณะที่รองเท้าเรซซิ่งต้องเบา เพราะเมื่อวิ่งไปนานๆ รองเท้าที่หนักๆ จะกลายมาเป็นภาระให้เท้าของเรา และมีอายุการใช้งานน้อยกว่า เพราะพื้นรองเท้าค่อนข้างบาง หากเป็นนักวิ่งระดับอีลิทหรือแถวหน้า หรือผู้ที่จริงจังกับการวิ่ง จึงมักมีรองเท้าที่ใส่แยกกันระหว่างรองเท้าซ้อมและรองเท้าแข่ง ซึ่งแนะนำว่าก่อนวันแข่งจริงควรหยิบรองเท้าแข่งมาลองซ้อมวิ่งดูสักหน่อย เพื่อจับฟีลและสร้างความคุ้นเคย ไม่แนะนำให้ใส่ครั้งแรกในวันแข่งเลย (ผู้เขียนเคยมาแล้ว ปรากฏว่าเลือดอาบนิ้ว) 

 

เอเลียด คิปโชเก เป็นนักวิ่งชาวเคนยาที่สร้างสถิติมากมาย ถือเป็นนักวิ่งมาราธอนคนแรกที่สามารถป้องกันเหรียญทองจากกีฬาวิ่งมาราธอนในโอลิมปิกเกมส์ และเป็นเจ้าของสถิติโลกมาราธอนคนปัจจุบันจากสนามแข่งที่เบอร์ลินในปี 2018 ปัจจุบันครอบครอง 4 เหรียญรางวัลโอลิมปิกไว้ในมือ 

 

ภาพ: Giuseppe Cacace / AFP

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising