จุดเริ่มต้นของตำนานอย่าง Nissan GT-R เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1957 โดยเป็นครั้งแรกที่บริษัท ปริ๊นซ์ มอเตอร์ ได้ผลิตรถยนต์ที่ใช้ชื่อว่า Skyline (สกายไลน์) ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น Nissan GT-R รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตคาร์ ที่สร้างชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่ยอมรับในระดับโลก
ต่อมาในปี ค.ศ. 1966 บริษัท ปริ๊นซ์ มอเตอร์ และนิสสัน ก็ผนึกกำลังรวมกิจการเข้าด้วยกัน หลังจากนั้นนิสสันได้พัฒนารถยนต์สายพันธุ์แรงรุ่นนี้อย่างต่อเนื่อง และประสบความสำเร็จจากการแข่งขันต่างๆ มากมาย ทำให้ Nissan GT-R ครองใจคนที่คลั่งไคล้รถยนต์ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นรุ่น R32, R33 และ R34 ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดของสะสมของคนรักรถและสายซิ่งเลยก็ว่าได้ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2007 นิสสันได้ตัดสินใจยกเลิกชื่อ Skyline และเปลี่ยนมาใช้ชื่อ GT-R (จีที-อาร์) อย่างเป็นทางการในรุ่น R35 และล่าสุดนิสสันเปิดตัว GT-R T-Spec (จีที-อาร์ ที-สเปค) ให้แฟนๆ ชาวไทยได้รู้จักกัน
“ผมชอบรถมาก และเคยขับรถมาหลายรุ่นครับ” อิซาโอะ เซคิกุจิ ประธานนิสสัน ประเทศไทย ผู้เป็นแฟนตัวยงของ GT-R บอกกับ THE STANDARD WEALTH “จำได้ว่าตอนเด็กๆ รู้จักรถทุกรุ่นที่วิ่งอยู่บนถนน และยังเป็นนักสะสมโมเดลรถยนต์จิ๋วตัวยง ตอนนี้น่าจะมีมากกว่า 300 แบบ รวมถึงที่วางบนโต๊ะทำงานก็ยังมีอยู่หลายคัน โดยเฉพาะรถสปอร์ตอย่าง GT-R ที่เป็นรถในดวงใจของหลายๆ คน และน่าจะเป็นเหตุผลที่พ่อและแม่ถ่ายรูปผมกับรถคันนี้ตอนผมอายุแค่ประมาณ 2 ขวบเอง”
วันนี้เซคิกุจิซังจะมาเล่าถึงเรื่องราวของรถที่สร้างความประทับใจให้ตัวเองตั้งแต่วัยเด็ก และเผยความลับที่ทำให้รถรุ่นนี้ครองใจคนทั่วโลก
1. เครื่องยนต์ที่ประกอบด้วยมืออย่างประณีตจากช่างฝีมือที่มีเพียง 5 คนในโลกเท่านั้น
ในยุคที่บริษัทในอุตสาหกรรมยานยนต์ส่วนใหญ่เปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีเครื่องจักร แต่นิสสันยังคงเชื่อมั่นในการประกอบด้วยมือจากช่างระดับเทพ ที่ภายในนิสสันเรียกว่า ทาคูมิ (Takumi) เพื่อให้ขุมพลังของรถรุ่นนี้ออกมาอย่างดีที่สุด ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นจะต้องได้รับความใส่ใจในทุกรายละเอียดของการประกอบ โดยเฉพาะเครื่องยนต์คือหัวใจหลักของสมรรถนะที่อยู่ใน GT-R ซึ่งนี่คือส่วนหนึ่งของความพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์และความประณีตที่ส่งต่อให้ลูกค้า และที่เป็นพิเศษยิ่งกว่าคือ บนเครื่องยนต์ของรถ GT-R ทุกคัน จะมีชื่อทาคูมิผู้ประกอบติดไว้ที่เครื่อง เพื่อเป็นการการันตีคุณภาพจากช่างยอดฝีมือ
“ในการประกอบเครื่องยนต์แต่ละคัน ทาคูมิทุกคนใส่ทั้งหัวใจและจิตวิญญาณในรถแต่ละคัน พวกเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 ชั่วโมงในการประกอบเครื่องยนต์ของ GT-R ขึ้นมาด้วยมือ ซึ่งหลายขั้นตอนไม่สามารถแทนที่ด้วยเครื่องจักร”
เซคิกุจิยกตัวอย่างให้ฟังว่า เครื่องจักรในการผลิตนั้นมีความแม่นยำ แต่ไม่อาจสัมผัสได้ถึงลักษณะบางอย่าง ขณะที่ประสบการณ์ของทาคูมิสามารถสังเกตหรือสัมผัสได้ทันที เช่น ตอนใส่ลูกสูบลงไป พวกเขาฟังเสียงกระทบของชิ้นส่วนต่างๆ และรู้ได้เลยว่ามีอะไรที่ผิดปกติหรือไม่
ก่อนที่ GT-R แต่ละคันจะเดินทางออกมานอกสายการผลิต ซึ่งก็รวมถึงลูกค้าในประเทศไทย ทาคูมิจะต้องทดสอบเครื่องยนต์และประเมินเครื่องยนต์ทุกเครื่อง ซึ่งด้วยความชำนาญของทาคูมิแต่ละคน เพียงเอานิ้ววางบนกระโปรงหน้ารถเพื่อสัมผัสการสั่นสะเทือนจากเครื่องยนต์ที่มีอัตราการหมุนของรอบเครื่องที่ 3,000 รอบต่อนาที (RPM) ก็สามารถประเมินเครื่องยนต์ได้คร่าวๆ ทีเดียว
2. ไม่เคยหยุดพัฒนาจนเกิดเป็น GT-R T-Spec (จีที-อาร์ ที-สเปค)
เมื่อเราถามถึงเอกลักษณ์ของ GT-R ที่เซคิกุจิซังชอบมากที่สุด “หลายคนบอกว่ากระจังหน้า แต่สำหรับผมคือไฟท้าย” เช่นเดียวกับ GT-R T-Spec รุ่นใหม่ล่าสุดที่กำลังจะเผยโฉมเป็นครั้งแรกที่งาน Motor Expo ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน – 12 ธันวาคมนี้
ชื่อ ‘T-Spec’ ได้แรงบันดาลใจมากจาก 2 คำ คือ ‘Trend’ หมายถึงผู้นำแบบสมัยนิยม และ ‘Traction’ ที่หมายถึงความเป็นยอดเรื่องการยึดเกาะ รถรุ่นนี้จึงโดดเด่นด้วยสมรรถนะด้านการยึดเกาะถนนที่ยอดเยี่ยม
ขณะที่ขุมพลังใช้เครื่องยนต์รหัส VR38DETT แบบ V6 24 วาล์ว ขนาด 3.8 ลิตร ทวินเทอร์โบชาร์จ ให้พละกำลังสูงสุด 555 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 632 นิวตันเมตร พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้เบรกแบบคาร์บอนเซรามิก สปอยเลอร์หลังแบบคาร์บอนไฟเบอร์ ฝาครอบเครื่องยนต์พิเศษสำหรับรุ่นลิมิเต็ดเอดิชัน และตราสัญลักษณ์รุ่น T-Spec ลิมิเต็ดเอดิชัน ที่ด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึงล้ออัลลอยฟอร์จจาก RAYS สีบรอนซ์ขนาด 20 นิ้ว
และถ้ามองการออกแบบภายนอก ในขณะที่ดีไซน์ของรถสปอร์ตในสมัยนี้เน้นความโค้งมน ในทางกลับกัน GT-R T-Spec ยังยึดเอกลักษณ์ดั้งเดิมที่เน้นทรงเหลี่ยมมุมที่ครองใจแฟนๆ มากว่า 50 ปี โดยไม่เคยหยุดพัฒนาสมรรถนะเพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดของผู้ใช้
ซึ่งรุ่นพิเศษของรุ่น T-Spec ตัวถังมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีม่วง มิดไนท์ เพอร์เพิล (Midnight Purple) และสีเขียว มิลเลนเนียม เจด (Millennium Jade) ซึ่งสีใหม่นี้ได้แรงบันดาลใจจาก GT-R รุ่นก่อนๆ อย่าง R34
นอกจากรุ่น T-Spec GT-R ยังมีรุ่น GT-R Premium Luxury ที่มีให้เลือกถึง 6 สี ได้แก่ สีฟ้า เบย์ไซด์ บลู (Bayside Blue), สีแดง แวเรียนต์ เรด (Variant Red), สีเงิน ซูเปอร์ ซิลเวอร์ (Super Silver), สีขาว สตอร์ม ไวต์ (Storm White), สีเทา กัน เมทัลลิก (Gun Metallic) และสีดำ เพิร์ล แบล็ก (Pearl Black) แต่เซคิกุจิซังบอกเราว่าส่วนตัวเค้าชอบสีฟ้าเป็นพิเศษ
3. ส่งต่อตำนานและคุณค่าจากรุ่นสู่รุ่น
Nissan GT-R ปรากฏในวัฒนธรรมป๊อปปูลาร์คัลเจอร์หลายครั้ง ที่เห็นกันติดตาที่สุดอันหนึ่งคือจากภาพยนตร์เรื่อง Fast & Furious “นี่คือหนึ่งในสุดยอดของรถซูเปอร์สปอร์ตคาร์ในยุคนี้ที่ไม่มีใครไม่รู้จัก” เซคิกุจิซังบอกแบบนั้น “รถรุ่นนี้มาพร้อมเรื่องราวและประวัติกว่าครึ่งศตวรรษ ผ่านช่วงเวลาและเกิดจากความเชี่ยวชาญในการผลิต จนออกมาเป็นรถสปอร์ตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ที่มีฐานแฟนๆ อยู่ทั่วโลก รวมถึงผมด้วย” เซคิกุจิซังกล่าว
“ไม่ว่าจะเป็นนักสะสมหรือแฟน GT-R ต่างมองว่ารถรุ่นนี้เป็นได้ทั้งรถที่ใช้ได้ในทุกวัน หรือจะนำไปขับในแทร็กแบบมอเตอร์สปอร์ต หรือแม้กระทั่งมีไว้เพื่อการสะสม ในเวลาเดียวกันก็นับเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง เพราะมูลค่าของมันมีแต่จะเพิ่มขึ้นหลายเท่าเหมือนที่รุ่นก่อนหน้าเป็นอยู่ในขณะนี้”
ถ้าอยากรู้จัก GT-R T-Spec และ GT-R Premium Luxury มากกว่านี้ สามารถติดต่อ นิสสัน กรุงไทย (สำนักงานใหญ่) ผู้จำหน่ายและให้บริการสำหรับรถยนต์นิสสัน GT-R อย่างเป็นทางการของประเทศไทย ซึ่งมาพร้อมสิทธิพิเศษที่ Nissan High Performance Center เพื่อเข้ารับบริการเหนือระดับตามมาตรฐาน GT-R จากประเทศญี่ปุ่น หรือไปเจอกันที่งาน Motor Expo ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน – 12 ธันวาคมนี้ ตามที่เซคิกุจิซังทิ้งท้ายก่อนจบการสนทนาว่า
“ผมอยากให้คนไปงานนี้เพื่อจะได้เห็นสิ่งที่เราใส่ลงไปในรถแต่ละรุ่นด้วยตัวเอง รวมถึง GT-R T-Spec และไปดูความตั้งใจของนิสสันในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้ได้ยานยนต์ที่พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในทุกๆ วัน”
Website: https://www.nissan.co.th/
Facebook: https://www.facebook.com/gtr.krungthai
โทร.: 0 2510 5555