×

ทำไมกสิกรไทยถึงเปิดบริการ ‘หนังสือค้ำประกันบนบล็อกเชน’ รายแรกของโลก?

20.07.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 mins read
  • กสิกรไทยนำระบบบล็อกเชนมาใช้กับบริการรับรองหนังสือค้ำประกัน (Letter of Guarantee: LG) เป็นครั้งแรกในไทยและในโลก เพื่อตัดปัญหาการทำธุรกิจที่ต้องออกหนังสือค้ำประกันโดยธนาคารที่มีขั้นตอนยุ่งยาก ใช้เวลานาน
    และตรวจสอบความโปร่งใสได้ยาก
  • การออกหนังสือค้ำประกันผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ยังมีช่องโหว่ เสี่ยงถูกปลอมแปลงระหว่างโอนส่งไฟล์
  • คาดว่าภายในปีนี้จะมียอดหนังสือค้ำประกันคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 1.3 ล้านล้านบาท ซึ่งหากไม่มีการจัดการที่มีประสิทธิภาพก็อาจส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและเศรษฐกิจไทยได้ แต่บล็อกเชนจะเข้ามาตัดปัญหาดังกล่าวให้หมดไป

     ถ้า 3-4 ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ธนาคารพาณิชย์ในไทยตื่นตัวเรื่อง Mobile Banking และ e-Payment กันมากขึ้น ปีนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องบล็อกเชน (Blockchain) ที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งใน ‘เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก’ (Key Revolution Technologies) ของยุคนี้

     ล่าสุด วันที่ 19 กรกฎาคม 2560 ธนาคารกสิกรไทยประกาศเปิดบริการหนังสือค้ำประกันบนบล็อกเชนแล้ว พร้อมอ้างว่าเป็นเจ้าแรกในไทยและในโลก! โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในโครงการ Hyperledger จาก IBM พร้อมหนุนพันธมิตรจากรัฐวิสาหกิจและเอกชนทั้ง 4 รายมาร่วมทดสอบบริการร่วมกันบน Regulatory Sandbox หรือสนามทดลองนวัตกรรมของธนาคารแห่งประเทศไทย

     ที่ผ่านมากระแสบล็อกเชนเริ่มเป็นที่พูดถึงอย่างแพร่หลาย แต่เราก็ยังไม่เห็นสถาบันการเงินไทยขยับตัวหรือลุกขึ้นมาพัฒนาบริการที่รองรับเทคโนโลยีนี้อย่างเป็นรูปธรรมเสียที อาจเพราะเป็นเรื่องใหม่ที่ซับซ้อน เข้าใจยาก ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง จนกระทั่งปี 2560 กสิกรไทยเริ่มประกาศนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้รับรองเอกสารต้นฉบับ โดยร่วมกับ IBM ตามมาด้วยธนาคารไทยพาณิชย์ โดยบริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส ได้ดึงบล็อกเชนของ Ripple บริษัทผู้ให้บริการด้านการชำระเงินชั้นนำของสหรัฐฯ มารองรับระบบโอนเงินระหว่างประเทศไทยกับญี่ปุ่น เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

 

 

     ด้าน พิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ชี้ว่าเทคโนโลยีนี้จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนธุรกิจไทย โดยคาดว่าจะมีสัดส่วนการทำหนังสือค้ำประกันผ่านระบบธนาคารพาณิชย์สูงถึง 5 แสนฉบับ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1.35 ล้านล้านบาทภายในปีนี้
ทำไมต้องเป็นหนังสือค้ำประกัน เป้าหมายของกสิกรไทยคืออะไร บล็อกเชนจะเข้ามาพลิกโฉมของการทำธุรกรรม และเอื้อประโยชน์กับการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างไร ติดตามในบทความนี้กันได้เลย!


อุดช่องโหว่ของหนังสือค้ำประกัน ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความน่าเชื่อถือ

     พิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เผยถึงสาเหตุที่เลือกนำเทคโนโลยีนี้มาแก้ปัญหาเรื่องการออกหนังสือค้ำประกัน เพราะธุรกิจขนาดใหญ่และหน่วยงานรัฐมักประสบปัญหาในการจัดการเอกสาร รวมทั้งยังมีเป็นช่องโหว่ที่ก่อให้เกิดต้นทุนแฝงซึ่งคนทั่วไปอาจมองไม่เห็น
     ตามปกติแล้วเวลาคู่ค้าทำสัญญาธุรกิจจะทำหนังสือค้ำประกันผ่านธนาคาร เพื่อสร้างความมั่นใจ (และเป็นหลักฐาน) ในการประกอบธุรกิจร่วมกัน ประเทศไทยมีหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคารมากถึงร้อยละ 80  ซึ่งบ่อยครั้งใช้เวลาดำเนินการนาน ผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน และอาจสูญหายระหว่างทาง ขณะที่การออกหนังสือค้ำประกันออนไลน์ในปัจจุบันยังเสี่ยงถูกปลอมแปลง ทางกสิกรไทยจึงพัฒนา ‘OriginCert ’ บริการหนังสือค้ำประกันบนระบบบล็อกเชนครั้งแรกของโลก ที่เปิดให้ภาคธุรกิจ ธนาคาร และหน่วยงานอื่นๆ เข้ามาใช้ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญเชิงเทคนิคของบล็อกเชนโดยตรง
     กสิกรไทยจะนำร่องใช้กับการรับรองเอกสารหนังสือค้ำประกัน (Letter of Guarantee: LG) เป็นบริการแรก ซึ่งธุรกิจขนาดใหญ่และหน่วยงานรัฐมักประสบปัญหาในการจัดการเอกสาร โดยได้พันธมิตรทางธุรกิจมาเข้าร่วมด้วย คือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีทีที โพลีเมอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด

 

 

     ถามว่าทำไมต้องเป็นเทคโนโลยีบล็อกเชน ในเมื่อปัจจุบันเราสามารถขอหนังสือค้ำประกันผ่านระบบออนไลน์ได้แล้ว สมคิด จิรานันตรัตน์ รองประธาน กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป ชี้ว่าบล็อกเชนจะเข้ามาช่วยแก้ Pain Point คือ
     1. มีความปลอดภัยสูง (Security) ด้วยระบบข้อมูลที่น่าเชื่อถือ (Trust) สามารถยืนยันความถูกต้องได้ ที่สำคัญปลอมแปลงยาก เพราะข้อมูลที่อยู่ในบล็อกเชนจะแก้ไขไม่ได้

     2. ประหยัดต้นทุน (Cost Saving) ค่าเสียโอกาสและค่าใช้จ่ายด้านเอกสารมากถึง 2 เท่า

     3. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการ (Efficiency) ทำได้ทุกที่ ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง และกำหนดเงื่อนไขเองได้ เช่น ต่อสัญญาอัตโนมัติหรืออนุมัติหลังจ่ายเงินเท่านั้น

     4. ลดขั้นตอนการจัดการเอกสารที่ยุ่งยาก ใช้เวลานานเป็นสัปดาห์ให้เหลือภายใน 1 วัน

     5. ใช้ระบบข้อมูลแบบรวมศูนย์ (Consolidated Information) ทุกข้อมูลธุรกรรมจะอยู่บนบล็อกเชน ทำให้ติดตามและตรวจสอบข้อมูลได้ง่าย (Traceability)

     6. สร้างโอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunity) ทำให้ขับเคลื่อนธุรกิจได้เร็ว เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันภายในประเทศและต่างประเทศ

 



หมดยุคกระดาษ เพราะเศรษฐกิจดิจิทัลจะมุ่งสู่สังคมไร้เงินสดและเอกสาร (Cashless and Paperless Society)

     นอกจากนี้ กสิกรไทยยังมองว่าบล็อกเชนจะตอบโจทย์แนวทางเศรษฐกิจดิจิทัลภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล ทุกวันนี้สังคมไทยมีภาระต้นทุนการหมุนเวียนเงินสดในประเทศสูง การทำธุรกรรมส่วนใหญ่ยังใช้เอกสารกระดาษเพื่อเป็นหลักฐาน เช่น สเตทเมนต์ธนาคาร สัญญา และโฉนดที่ดิน ทั้งที่มีต้นทุนสูง สูญหายง่าย และตรวจสอบยาก แม้ว่าบริษัทองค์กรและหน่วยงานจะเริ่มใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์กันเพิ่มมากขึ้นแล้วก็ตาม

     บริการออกหนังสือค้ำประกันบนบล็อกเชนจึงน่าจะช่วยลดปริมาณการใช้กระดาษและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยคาดว่ามูลค่าของ LG จะสูงถึง 1.3 ล้านล้านบาทในปีนี้ โดยร้อยละ 35 เป็นสัดส่วนหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยกสิกรไทย ประมาณ 3.3 แสนล้านบาท ผ่านสาขาร้อยละ 80 และผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ร้อยละ 20 และคาดว่าในสิ้นปี สัดส่วนการใช้บริการ LG ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 35 โดยผ่านบล็อกเชนร้อยละ 5


     พิพิธ เอนกนิธิ กล่าวว่าเทคโนโลยีนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของภาครัฐและภาคเอกชนหันมาสนใจการใช้นวัตกรรม เพื่อยกระดับธุรกิจไทยและปูทางไปสู่สังคมไร้เงินสดและเอกสารในอนาคต

 

รัฐและเอกชนตื่นตัว มองบล็อกเชนเป็นอนาคต ไม่ปรับก็ยากจะอยู่รอด

     การเปิดตัวบริการใหม่ครั้งนี้ยังเป็นหนึ่งในพันธกิจของกสิกรไทยที่พยายามปรับตัวให้ทันเทคโนโลยีดิจิทัลสู่ยุค Digitization และยังสะท้อนให้เห็นถึงการตื่นตัวของภาคธุรกิจเอกชน ธนาคารกลาง รวมทั้งรัฐวิสาหกิจที่ถูกมองว่าล้าสมัยได้อย่างน่าสนใจ

     บนเวทีเสวนาในหัวข้อ ‘Blockchain เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก’ ตัวแทนของแต่ละภาคส่วนได้ร่วมแสดงทัศนะต่อการเข้าร่วมบริการ OriginCert บนบล็อกเชนกันอย่างคึกคัก พร้อมชี้ว่าระบบธุรกรรมในปัจจุบันยังมีปัญหาอีกมาก ทำให้ธุรกิจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

     สิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายระบบการชำระเงินและ เทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้ว่าทุกฝ่ายควรจับตา 6 เทคโนโลยีสำคัญที่จะเข้ามาพลิกโฉมอนาคตทางการเงิน ได้แก่

  1. บล็อกเชน ซึ่งปัจจุบันมีธนาคารพาณิชย์ 2 รายที่เข้ามาร่วมพัฒนาบน Regulatory SandBox ของ ธปท.
  2. QR Payment เพิ่มประสิทธิภาพของระบบการชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ด เช่น Alipay
  3. เทคโนโลยีไบโอเมตริกส์ (Biometrics) ที่ใช้ยืนยันตรวจสอบตัวตนในการทำธุรกรรม
  4. การวิเคราะห์ประมวลผลคลังข้อมูลด้วย Big Data และ Data Analytics
  5. Machine Learning และ AI
  6. Standard Open APIs การแชร์โครงสร้างพื้นฐานบนแพลตฟอร์มร่วมกันจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยไปสู่ Sharing Economy

     ทั้งนี้ ธปท. มองว่าบทบาทใหม่ของ ธปท. ที่เปิดสนามทดลองนวัตกรรมขึ้นมาจะช่วยดูแลความเสี่ยงของสถาบันการเงินที่นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ พร้อมช่วยสนับสนุนให้เกิดนวัตกรรมใหม่ที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ย้ำ ‘ถ้ามัวแต่กลัวความเสี่ยง นวัตกรรมก็ไม่เกิด’

     ทางด้าน สารนิต อังศุสิงห์ รองผู้ว่าการเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบสื่อสาร การไฟฟ้านครหลวง อธิบายว่าปัญหาสำคัญของหน่วยงานคือการค้ำประกันค่าไฟ รวมทั้งค่าลงทุนซื้อและติดตั้งอุปกรณ์ซึ่งคิดเป็นเงินหลายหมื่นล้านบาท/ปี ขณะที่ ชิณเสณี อุ่นจิตติ ผู้ช่วยผู้ว่าการ บัญชีและการเงิน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ชี้ว่าไฟฟ้าเป็นสินค้าใช้ก่อน จ่ายทีหลัง จึงต้องทำหนังสือค้ำประกันการใช้ไฟเช่นกัน แต่การตรวจสอบเอกสารชำระเงินในต่างจังหวัดทำได้ล่าช้า เพราะข้อมูลกระจัดกระจาย ทั้งสองจึงมองว่าบล็อกเชนจะช่วยลดขั้นตอนการทำงานและต้นทุน ทำให้มีเวลาพัฒนาบุคลากรมากขึ้น

     ขณะที่ ดวงกมล เศรษฐธนัง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ชี้ว่าการซื้อขายผลิตภัณฑ์เคมีของบริษัทต้องมีหนังสือค้ำประกันหรือ LG การันตีโดยธนาคารเช่นกัน ซึ่งใช้เวลาดำเนินการล่าช้าอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ ขณะที่บล็อกเชนทำได้ภายในวันเดียว เมื่อระบบธุรกรรมมีประสิทธิภาพก็จะช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มความสามารถเรื่องการแข่งขันทางธุรกิจในที่สุด

 

อนาคตของบล็อกเชนที่ไม่จำกัดแค่เรื่องของการเงิน

     สมคิด จิรานันตรัตน์ ชี้ว่าในอนาคตยังสนใจบล็อกเชนทั้งในแง่
     1. การยืนยันตัวตน (Identity) ที่เชื่อมโยงกับระบบทุกธนาคาร โดยที่ลูกค้าไม่ต้องคอยยื่นเอกสารหรือสำเนาบัตรประชาชนให้กับธนาคารแต่ละแห่ง
     2. การแลกเปลี่ยนความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ (Asset Ownership) ซึ่งบล็อกเชนจะบันทึกข้อมูลทันทีที่มีการโอนย้าย/แลกเปลี่ยนสินทรัพย์ เช่น โฉนดที่ดิน

     3. การทำประกันและเคลมประกัน (Insurance & Claim) เช่น การเคลมประกันสุขภาพที่สามารถติดตามผลหรือตรวจสอบข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว

     ที่สำคัญโอกาสของบล็อกเชนไม่ได้จำกัดแค่ในกลุ่มธุรกิจการเงินเท่านั้น แต่ยังเป็นไปได้ในทุกอุตสาหกรรม พร้อมยกกรณีตัวอย่างของ Walmart ที่ได้บล็อกเชนควบคู่กับระบบสมาร์ตฟาร์ม ติดตามข้อมูลของเนื้อสัตว์จากฟาร์มในแต่ละเมืองเพื่อตรวจสอบคุณภาพและป้องกันโรคระบาด โดยชี้แนะว่าธุรกิจจะใช้นวัตกรรมได้สำเร็จจะต้องศึกษาและใช้กรณีตัวอย่างที่น่าสนใจและสอดรับกับโมเดลของตัวเอง พร้อมย้ำว่าทุกฝ่ายต้องช่วยกันสนับสนุนเพื่อสร้างระบบนิเวศ แทนที่จะแยกตัวออกมาพัฒนาแพลตฟอร์มแข่งกันเอง เพื่อประโยชน์สูงสุดของทุกคน

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising